ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
พฤศจิกายน 28, 2024, 02:37:10 AM
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก

ข่าว: สมาคมทันตแพทย์เอกชนไทย - Thaiprivatedent.com

+  thaiprivatedent.com
|-+  Miscellaneous Talk
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  สุขภาพกับความงามของอิสตรี..
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สุขภาพกับความงามของอิสตรี..  (อ่าน 9786 ครั้ง)
หมอนันทิยา
Global Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 659



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: สิงหาคม 14, 2009, 08:44:39 PM »

ผิวสวย สำหรับสาวมีรอบเดือน
 
            ระบบฮอร์โมนในร่างกายเราจะเริ่มเมื่อมีประจำเดือนเป็นวันแรกจนถึงวันสุดท้าย กินเวลาได้
ตั้งแต่ 21-40 วัน วงจรการผลิต(ตก)ไข่ คือ เมื่อเกิดการตกไข่และรอการผสมจนกระทั่งฝ่อไป จะเกิด
ขึ้นในช่วงหรือประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน  ช่วงสัปดาห์แรกหลังจากหมดประจำเดือนครั้งสุดท้าย
ฮอร์โมนเอสโทรเจนจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้สูง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันก่อนมีรอบ
เดือนจะมีโอกาสมากที่สุดที่จะมีผิวที่มันเยิ้มและเป็นสิวค่ะ
  
             สิ่งที่ควรมองหา...สิ่งบ่งบอกถึงปัญหาผิวที่เกิดจากระบบฮอร์โมนคือ..

             มักมีสิวเกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์ก่อนจะมีรอบเดือนและมีสิวขึ้นมากบริเวณขากรรไกร คางและ
คอ ผิวจะเซ้นส์ซิทีฟมากในระหว่างช่วงอาทิตย์ที่ 4 ของระบบรอบเดือน ช่วงนี้ควรงดการแว๊กซ์ขนและ
นวดหน้าอย่างยิ่ง มักจะมีรอบเดือนที่ไม่สม่ำเสมอและ/หรือมีขนขึ้นมากผิดปกติบนใบหน้าหรือบนร่าง
กายร่วมกับการเกิดสิว อาการนี้อาจเกิดจากระบบฮอร์โมน
 

แก้ไขแบบง่ายๆ
  
             1. เลือกเคลนเซอร์ทำความสะอาดผิวอย่างฉลาดเมื่อใดที่ผิวอยู่ในสภาพย่ำแย่มากๆให้เลือก
                ใช้เคลนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพช่วยละลายการอุดตันของรูขุมขนอย่างที่มีส่วนผสมของ
                 salicylic acid
             2. เพิ่มขั้นตอนผลัดผิวที่อ่อนโยนเข้าไปในกิจวัตรประจำวัน ทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเป็นประจำ
                 เพื่อช่วยทำให้เซลล์เสื่อมสภาพที่เข้าไปอุดตันในรูขุมขนและกักเก็บน้ำมันส่วนเกิน (ที่ทำ
                 ให้เกิดสิวอุดตัน) หลุดออกมาได้ง่ายขึ้น
             3. ถึงผิวจะมันก็ไม่ควรมองข้ามขั้นตอนการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์แต่เลือกชนิดที่ไม่
                 มีส่วนผสมของน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (noncomedongenic)
             4. ใช้ผลิตภัณฑ์แต้มสิวที่ได้ผล

โปรแกรมดูแลผิว เพื่อแก้ปัญหาสิวก่อนรอบเดือน
  
             ช่วงประจำเดือนมาอาทิตย์ที่ 1
  
             สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก็คือ ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะลดต่ำลงอย่างฉับพลันในระหว่างเดือนทำให้ผิวพรรณฟื้นตัวจากอาการสิวเห่อก่อนรอบเดือนและทำให้ผิวดูหมองกว่าที่เคย สิ่งที่ควรทำ ก็คือการดูแลผิวที่สม่ำเสมอและอ่อนโยนเป็นพิเศษ เลือกกิจวัตรทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนใช้เคลนเซอร์ที่ไม่ทำร้ายผิวมากจนเกินไป แค่ปลายนิ้วก็เพียงพอแล้วที่จะนวดผิวในขณะทำความสะอาดด้วย
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมผิว อย่างอะโลเวร่าหรือชาเขียว บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอรหรือมาส์กผลัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวจากการหลุดลอกและช่วยพลิกฟื้นผิวที่หม่นหมองให้ดูสดใสขึ้นทิ้งมาส์กไว้บนผิวหน้าประมาณ 10 นาที เลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต้มสิว สำหรับสิวที่เหลืออยู่ ซึ่งมี
ส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนอย่าง salicylic acid หรือมีคุณสมบัติช่วยฆ่าแบคทีเรียอย่าง benzoyl peroxide ปกปิดสิวที่ยังไม่หายด้วยคอนซีลเลอร์ชนิดไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซึ่งมีส่วนผสม ช่วยกำราบสิวอย่าง salicylic acid หรือ sulfur
 

             อาทิตย์หลังการมีประจำเดือนอาทิตย์ที่ 2
  
             ในช่วงนี้ ระดับฮอร์โมนแอสโทรเจนในร่างกายจะลดต่ำลงอย่างถึงที่สุด และฮอร์โมนอีกตัวในร่างกาย คือโปรเจสเตอโรนพุ่งขึ้นสูง การที่ระดับฮอร์โมนเกกิดการผันผวนนี้ทำให้ผิวมันและเกิดสิว
ได้ สิ่งที่ควรทำ คือการรักษาสภาพผิวและการป้องกันในช่วงนี้ ถึงแม้ว่าผิวจะยังดูดีอยู่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยนะคะ ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง และทำความสะอาดคราบเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจดทุกครั้งหลังแต่งหน้าและก่อนเข้านอน ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวชนิดเดิมที่ใช้อาทิตย์แรก ช่วงนี้เน้นความสะอาดของผิวพรรณ ผลัดผิว โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดผิวจากสารเคมีที่ช่วยส่งเสริมการผลัดผิวตามธรรมชาติ เช่นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ กรดไกลโคลิก กรดแลคติกหรือกรดซาลิไซลิก นัดทรีทเมนท์ผิวหน้า &เพราะเวลานี้ผิวจะไม่เซ้นส์ซิทีฟมากจึงเป็นช่วงที่เหมาะจะดูแลผิวหน้าด้วยการนวดหรือทรีทเมนต์ต่างๆ
 

             ช่วงไข่ตก อาทิตย์ที่ 3
  
             ช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่ผิวดูดีและเนียนใสที่สุดของเดือน ต้องขอบคุณการเพิ่มของระดับฮอร์โมนแอสโทรเจน (เอสโทรเจนช่วยรักษาระดับน้ำมันบนผิว) สิ่งที่ควรทำใช้ผลิตภัณฑ์กำราบสิวและการผลัดเซลล์ผิว ช่วงนี้ล่ะควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสิวได้แล้วเป็นประจำทุกวันจนกระทั่งเริ่มมีประจำเดือนเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการทำความสะอาดผิว โดยทำความสะอาดผิวทั้งเช้าและเย็นแต่หากว่ามีผิวที่มันมากให้เพิ่มการใช้โทนเนอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หลังการล้างหน้าเพื่อทำความสะอาดรูขุมขนอย่างล้ำลึก (แต่หากว่าผิวแห้งมากๆก็ควรเว้นากรใช้โทนเนอร์) แล้วลองใช้มาส์กพอกผิวที่ช่วยลดการเกิดสิวสำหรับอาทิตย์นี้ ดูแลผิวช่วงก่อนนอนด้วยผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันการเกิดสิวเลือกที่มีส่วนผสมของ
ซาลิไซลิก แอซิด ไกลโคลิก แอซิด เพอร์รอกไซด์และที ทรี ออยล์ ใช้กระดาษซับความมัน ในช่วงอาทิตย์นี้และอาทิตย์ถัดไป พกพาเอาไว้ติดตัวเพื่อซับเอาน้ำมันออกจากผิว
 

             อาทิตย์ช่วงก่อนเริ่มมีประจำเดือน อาทิตย์ที่ 4
  
             ช่วงนี้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนยังเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ฮอร์โมนเอสโทรเจนตกฮวบลง ช่วง
นี้ล่ะบรรดาสิวทุกรูปแบบจะเริ่มปรากฎ ผิวจะมีความมันที่สุด  สิ่งที่ควรทำ อ่อนโยนกับผิวพรรณให้มาก
พยายามหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผลบนผิว เช่น การแว๊กซ์ขน การทำเลเซอร์ การขัดผิวและทรีทเมนต์
หน้าแบบต่างๆผู้หญิงหลายคนจะพบว่าการทำทรีทเมนต์ผิวแบบใดก็ตามในช่วงนี้จะรู้สึกเซ้นส์ซิทีฟมาก
ดูแลผิวบริเวณที่เป็นสิวทั้งเช้าและเย็น(ก่อนนอน) ด้วยผลิตภัณฑ์แต้มสิว เพิ่มเข้าไปในขั้นตอนการทำ
ความสะอาดวันละ 2 ครั้งทุกวัน ใช้มาส์กพอกผิวสำหรับสิวอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงอาทิตย์นี้  เพื่อช่วย
ลดการอุดตันรูขุมขน มองหาส่วนผสมที่จะช่วยทำให้สิวแห้งเร็ว คือ sulfur อำพรางรอยสิวด้วยเครื่อง
สำอางที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิก แอซิด แล้วเลือกชนิดที่บอกว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ครั้ง
ต่อไปที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้า อย่าลืมดูส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ด้วยนะคะ  

ขั้นตอนการเกิดสิว
  
             1. เมื่อร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน มักเกิดขึ้นในช่วงก่อน/หลังมีประจำเดือนซึ่งจะ
                กระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวขยายใหญ่ขึ้น
             2. เมื่อต่อมไขมันถูกขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วน้ำมันนี้จะเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ตาม
                ธรรมชาติของผิว แต่เมือ่ถูกผลิตออกมามากเกินไปยิ่งซ้ำร้ายหากในขณะที่ทำกลังเดินทาง
                จากต่อมไขมันสู่ปากรูขุมขน เกิดไปผสมเข้ากับแบคทีเรียและเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งอยู่ใน
                รูขุมขน ทำให้เกิดการเข้มข้นเป็นพิเศษ จึงเกิดการอุดตันรูขุมขนอันเป็นสาเหตุของการเกิด
                สิว
             3. ตามปกติ เซลล์ที่ตายแล้วในรูขุมขนจะค่อยๆถูกกำจัดออกสู่ปากรูขุมขนโดยน้ำมันหรือ
                เหงื่อ แต่เมื่อฮอร์โมนแอนโดรเจนกระตุ้นให้ต่อมไขมันใหญ่ขึ้นและผลิตน้ำมันออกมามาก
                ขึ้น เซลล์ผิวหนังในรูขุมขนก็จะผลิตและตายเร็วขึ้นด้วย เมื่อมีเซลล์ที่ตายอยู่มาก ก็จะเกิด
                การอุดตันในรูขุมขนมากขึ้นเป็นทวีคูณ
             4. เมื่อรูขุมขนเกิดอุดตัน บวกเข้ากับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งปกติแล้วก็อาศัยอยู่ตามผิวหนังและรู
                ขุมขน แต่เมื่อเกิดการอุดตัน เจ้าเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ซึ่งไม่ชอบออกซิเจน ก็จะแบ่งตัวได้
                อย่างรวดเร็วผิดปกติ จนเกิดเป็นสาเหตุของการอักเสบในรูขุมขนขึ้น
             5. เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นแล้ว เม็ดเลือดขาวในร่างกายก็จะส่งมาเพื่อฆ่าแบคทีเรียนี้ ตอนนี้นั่ง
                เอาที่ทำให้สิวเกิดเป็นตุ่มแดง บวม เจ็บ และเกิดเป็นหัวหนองในที่สุด  


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ที่มา : http://www.teenee.com
 :6: :6: :6:
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2009, 08:58:34 PM โดย nantiya2007 » บันทึกการเข้า
หมอนันทิยา
Global Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 659



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2009, 08:46:15 PM »

 :6: :6:

                เทรนด์ฮอตมาแรงทั่วโลกในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นการใส่ใจดูแลสุขภาพ แม้แต่ ในสังคมจังค์ฟู้ดแบบอเมริกัน ก็ยังรณรงค์ให้ชาวมะกันลด-ละ-เลิก เปลี่ยนวิถีการบริโภคใหม่ หันมาคอนเซิร์นเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น โดยมีเหล่า ซุปเปอร์สตาร์ฮอลลีวูดเป็นผู้ปลุกกระแสฮิต!! สำหรับในโลกของความงาม นอกจากการดูแลผิวพรรณให้เปล่ง ปลั่งดูสดใสแล้ว วงการแพทย์ยังพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง ที่จะคิดค้นพัฒนาเทคนิค และนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อชะลอความแก่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว สัปดาห์นี้ขอเอาใจคนกลัวแก่ โดยเฉพาะ ด้วยการอัพเดท 3 เทคนิคใหม่คืนความอ่อนเยาว์...เอ๊าะอยู่แล้วหรืออยากเอ๊าะกว่าเก่า ก็ควรอ่าน!!
 


ฉีดสเต็มเซลล์ฟื้นฟูความอ่อนเยาว์

                เนวัตกรรมนี้อัพเดทร้อนจี๋จากการประชุมวิชาการประจำปี ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและผิวพรรณกับความงามระดับโลก ที่ประเทศฝรั่งเศส โดย ?พญ. ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล? เล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้นว่า วงการแพทย์ความงามทั่วโลก กำลังตื่นตัวกันมากกับการพัฒนาหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อชะลอความแก่ เพราะนับ วันคนเราจะกลัวแก่มากขึ้นและอยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวไว้ให้นานที่สุด คุณหมอบอกว่า การประชุมในปีก่อนๆพูดกันเยอะเรื่องฉีดคอลลาเจนของสัตว์ หรือสารสกัดจากแบคทีเรีย เพื่อลดริ้วรอย และเติมเต็มเนื้อเยื่อส่วนที่สูญเสียไป ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ขึ้น

                แต่ในการประชุมครั้งล่าสุด วงการแพทย์โลกกำลังไปไกลกว่านั้นหลายเท่าเพราะมีวิธีชะลอความแก่แบบใหม่ ที่น่าสนใจมากคือ การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ ซึ่งแพทย์ ความงามเชื่อว่าจะสามารถชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ได้ถึง 10 ปี!! นวัตกรรมนี้จะอาศัยกระบวนการภายในของร่างกาย จัดการกับความบกพร่องที่สูญเสียไปกับความชรา หรืออธิบายง่ายๆว่า เป็นการใช้เซลล์ซ่อมเซลล์ที่เสื่อมของร่างกาย ซึ่งขณะนี้วงการแพทย์พัฒนาไปถึงขั้นสามารถใช้?สเต็มเซลล์? จากส่วน ต่างๆของร่างกาย ตัวเอง เช่น ไขกระดูก, เลือด หรือไขมัน มาเพาะเลี้ยง และฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย เพื่อฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง อย่างไร ก็ดี แม้เทคนิคนี้จะได้รับความนิยมในยุโรป และอเมริกา แต่สำหรับชาวเอเชีย รวมถึงบ้านเรา ยังต้องศึกษาถึงข้อดีข้อเสียอีกมาก รวมถึงสนนราคาที่แพงลิ่ว ครั้งละหลายแสน!!
 


นวดระบายน้ำเหลือง ขับสารพิษ-หน้าเต่งตึง

                การนวดระบายน้ำเหลือง หรือ Manual Lymphatic Drainage ใช้การ สัมผัสและกดที่ต่อมน้ำเหลือง ช่วยล้างพิษให้ร่างกายด้วยการกำจัด ของเสียออกเร็วขึ้น และช่วยบรรเทาอาการบวมน้ำ เป็นศาสตร์เก่าแก่ที่ได้รับความนิยมแพร่ หลายในยุโรป คิดค้นขึ้นโดย ?ดร.เอมิล วอดเดอร์? แพทย์ชาวเดนมาร์ก เมื่อต้นทศวรรษ 1930 เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหวัดเรื้อรัง ต่อมาได้พัฒนาเทคนิคช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่อมน้ำเหลือง ให้ร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น, ลดปัญหาระบายการอุดตันในท่อน้ำเหลือง และดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย นอกจากจะช่วยบำบัดรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบต่อมน้ำเหลือง เช่น ไซนัสเรื้อรัง และต่อมน้ำเหลืองโตแล้ว การนวดระบายน้ำเหลือง ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องการชะลอความแก่ได้ด้วย โดยเฉพาะริ้วรอยใต้ตา เพราะทางการแพทย์เชื่อว่า การไหลเวียนที่ดีของต่อมน้ำเหลือง จะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดอาการตาบวมและหน้าบวม สำหรับในเมืองไทย ศาสตร์แขนงนี้ยังไม่มีการศึกษากันอย่างจริงจัง
 


นวัตกรรมโมเลกุลใหม่ชะลอความร่วงโรย

                วงการเครื่องสำอางทั่วโลก กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าการฟื้นฟูผิวพรรณครั้งใหญ่ หลังจากมีการค้นพบอานุภาพของ ?เรตินอล? ในการต่อต้านริ้วรอย เมื่อ 7 ปีก่อนและล่าสุด ทางสถาบันวิจัยลังโคม ก้าวเขยิบขึ้นไปอีกขั้น เมื่อประสบความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมโมเลกุลใหม่ ?ProXylane? เพื่อประสิทธิผลด้านการชะลอความร่วงโรยที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาโมเลกุลใหม่นี้จากการเลียนแบบโครงสร้างของน้ำตาลซีโรส ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติชนิดเดียวกับที่มีในผิวคนเรา และเป็นตัวทำให้เกิดการสังเคราะห์ไกลแคน สารสำคัญที่สร้างความหนาแน่นให้ผิวพรรณ และทำหน้าที่ค้ำจุนโครงสร้างชั้นผิวที่ทรุดลงตามวัย ให้กลับมาแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง จากการทดลองพบว่า โมเลกุลต้านความร่วงโรยที่ค้นพบล่าสุด สามารถซึมผ่านเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก และทำหน้าที่เสมือนน้ำตาลซีโรส ช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น และผิวชั้นในมีความหนาแน่นขึ้น สอดคล้องกับคำพูดของ ?ศ.แมทธิว เอ. นูเจนท์? อาจารย์สาขาชีวเคมี มหาวิทยาลัยบอสตัน และผู้เชี่ยวชาญด้านสารระหว่างเซลล์เนื้อเยื่อค้ำจุนผิวว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น สารระหว่างเซลล์เนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ค้ำจุนโครงสร้างชั้นผิวอ่อนแอลง และเสื่อมทรุดลง ผลลัพธ์คือ ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เริ่มหม่นหมองและแห้งกร้าน ถ้าต้องการต่อสู้กับความร่วงโรย จำเป็นต้องปฏิบัติการกับสารระหว่างเซลล์เนื้อเยื่อค้ำจุนโครง
สร้างชั้นผิวนี้โดยตรง.
 

ข้อมูลจาก :   http://www.ddjung.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2012, 10:22:51 AM โดย admin » บันทึกการเข้า
หมอนันทิยา
Global Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 659



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2009, 08:50:08 PM »

   :6: :6: :6:
                 ยาสีพันในลักษณะบีบหลอดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพิ่งเป็นที่นิยมใช้กันในระยะเวลาไม่น่าจะเกิน 50 ปีมานี้เอง ส่วนการบันทึกเรื่องการสีฟันนั้น มีมานานนับตั้งแต่สมัยฮิบโปเครติส (400ปีก่อนคริสต์กาล) โดยใช้เกลือแคลเซียมคาบอเนตในการขัดสีฟัน   มีรายงานว่ายาสีฟันเมื่อ2000 ปีก่อนนั้น มีส่วนประกอบของปะการัง หินอ่อน ผงขี้เถ้าจากการเผาพืชหรือสัตว์ นำมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาสีฟัน

                 ในยุโรปเองยาสีฟันแบบเดิมๆ ที่ทุกวันนี้ยังคงมีใช้กันอยู่ คือ เกลือแกง เกลือโซเดียมคาร์บอเนตหรือที่เรารู้จักกันในนามของผงฟู ผสมกับผงเขม่า นำส่วนผสมเหล่านี้มาบดให้ละเอียดใช้เป็นยาสีฟันแบบผง

                 ในบ้านเราเอง มีการสีฟันด้วยเกลือแกง หรือเกลือแกงบดรวมกับสารส้ม และยังมีการใช้พืชพรรณบางชนิดมาใช้สีฟัน พืชพรรณที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในเมืองไทยเห็นจะไม่พ้นข่อย กล่าวกันว่า การใช้กิ่งข่อยสีฟันมีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล โดยใช้กิ่งข่อยที่ทุบให้แตกตอนปลายๆ นำมาสีฟันเป็นทั้งยาสีฟันและแปรงสีฟัน เวลาแปรงก็จะเคี้ยวเนื้อไม้ไปด้วย

                 ส่วนพรรณไม้ที่นิยมใช้อีกชนิดหนึ่ง คือ สีฟันคนทาซึ่งใช้กิ่งไม้ทำยาสีฟันเช่นเดียวกับข่อย และยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มีการใช้รักษาโรคเหงือกและฟัน

                 ยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ส่วนประกอบสำคัญก็ยังคงเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต หรือเกลือแคลเซียม เกลืออลูมิเนียม ตัวอื่นที่มีหน้าที่ขัดฟัน และยังประกอบด้วยสารทำความสะอาด ที่นิยมใช้คือ โซเดียมลอริลซัลเฟต ที่มีความสามารถในการทำความสะอาดได้ดีกว่าสบู่ โดยใช้ในการปริมาณที่น้อยไม่เกิน 2% เพื่อขจัดคราบและเศษอาหารในปากและฟัน

                 นอกจากนั้นยังมีสารเพิ่มความหนืด สารเพิ่มความชุ่มชื้น สารแต่งรส สารกันบูด  หลักการของยาสีฟันที่มีขายในท้องตลาดในขณะนี้ คือ การทำความสะอาด และการขัดคราบที่ติดฟันอยู่

                 ปัจจุบันมียาสีฟันมากมายหลายยี่ห้อในท้องตลาด ทั้งของภายในประเทศและต่างประเทศ มีการผสมสมุนไพรใส่ลงไปในยาสีฟัน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค สมุนไพรที่มีฤทธิ์ดับกลิ่นปาก สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สมุนไพรที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน
                 ทั้งนี้เพื่อยับยั้งเชื้อจุลลินทรีย์ในช่องปาก ช่วยบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ ช่วยทำให้เหงือกแข็งแรง เป็นต้น สมุนไพรที่นิยมใช้กัน ได้แก่

                 เปลือกมังคุด คนยุคก่อนมีการใช้เปลือกมังคุดในการต้ม อมบ้วนปากแก้ปวดฟัน แก้เหงือกอักเสบ แก้เหงือกบวม แก้แผลในปาก ปัจจุบันมีการค้นคว้าศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ของเปลือกมังคุดมากมาย พบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุด มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด มีฤทธิ์รักษาแผล มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ฝาดสมาน
                 การผสมเปลือกมังคุดไปในยาสีฟัน จึงได้ประโยชน์หลายอย่าง ทั้งการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในปาก และลดการอักเสบของเหงือก และรสฝาดทำให้เหงือกแข็งแรง

                 ใบฝรั่ง ใบฝรั่งเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กับโรคเหงือกและฟัน โดยนิยมเคี้ยวใบฝรั่ง เพื่อดับกลิ่นสุราในปาก ใช้เคี้ยวดับกลิ่นปาก ใช้ใบฝรั่งต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อย อมแก้ปวดฟัน                  ปัจจุบันจากการศึกษาวิจัยพบว่า ใบฝรั่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิด มีฤทธิ์ลดการอักเสบของเหงือก มีฤทธิ์พล๊าคที่จับเป็นคราบที่ฟัน การใช้ใบฝรั่งผสมลงไปในยาสีฟันจึงมีประโยชน์ตามที่กล่าวมาแล้ว

                 ใบพลู ใบพลูเป็นสมุนไพรที่คนไทยโบราณใช้เคี้ยวกินกับหมาก ด้วยเชื่อว่าจะรักษาปากฟันไม่ให้เป็นโรค แก้แมงกินฟัน มีการวิจัยพบว่าใบพลูมีฤทธิ์ที่สนับสนุนการใช้ดังกล่าวมากมาย เช่น มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียและราได้หลายชนิด มีฤทธิ์ระงับการเกิดแผ่นฝ้าที่แก้มด้านในลิ้นและเหงือก มีฤทธิ์เร่งการสมานแผล และยังมีน้ำมันหอมระเหยช่วยให้กลิ่นปากหอมสดชื่น ใบพลูจึงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสมที่จะผสมลงไปในยาสีฟัน

                 นอกจากสมุนไพรที่กล่าวมาแล้ว สมุนไพรที่นิยมนำมาผสมลงไปในยาสีฟันได้แก่ ขิง เปลือกทับทิม ใบข่อย กระชาย ชะเอมไทย เนียมหูเสือ ว่านหางจระเข้ สีเสียดเหนือ แก่นลั่นทม เป็นต้น สมุนไพรที่ส่วนใหญ่ผสมลงไปล้วนแล้วแต่ต้องการฤทธิ์ตามที่ได้กล่าวมา คือ ฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ฤทธิ์ลดการอักเสบ ฤทธิ์ฝาดสมานช่วยทำให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาแผล

                 คนทั่วไปนั้นสามารถที่จะทำยาสีฟันใช้ได้เอง จากการใช้เกลือแกงผสมผงฟู หรือผสมสารส้มสีฟัน โดยไม่ต้องใช้ยาสีฟันจากหลอด ก็ไม่มีใครว่าถ้าขยันหน่อยอาจจะไปหาสมุนไพรที่ตัวเองชอบ มาตากแห้งบดเป็นผงผสมลงไปด้วย เติมพิมเสน การบูรให้สดชื่นสบายใจลงไปด้วยก็ดีอย่างที่รู้ๆ กันองค์ประกอบของยาสีฟันคือผงขัดกับสารซักฟอก เราก็เพียงแปรงฟันให้นานหน่อย แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร

                 แต่ถ้าใครที่อยากใช้ยาสีฟันสมุนไพรก็หาซื้อได้มากมายหลายยี่ห้อ และล่าสุดโรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ได้ทดลองพัฒนาตำรับสมุนไพรเปลือกมังคุด ใบพลู ใบฝรั่ง ใส่สารส้มและเกลือลงไปด้วย ใครเป็นแฟนสมุนไพรของโรงพยาบาลนี้ ก็ติดต่อลองหามาใช้กันดู คนที่เคยลองใช้แล้วฝากมาบอกต่อว่าสีของเนื้อยาสีฟันยี่ห้อนี้เหมาะกับท่านที่รักสมุนไพรจริงๆ

                 คนไทยนั้นรู้จักนำพืชพรรณธรรมชาติมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันมาแต่โบราณ การสืบสานวิธีใช้ประโยชน์เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนพันธกิจของพวกเราทุกคนในยุค "คิดใหม่ ทำใหม่"
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ที่มา :   http://advisor.anamai.moph.go.th/hph/herbs/herbindex.html  
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2009, 08:51:39 PM โดย nantiya2007 » บันทึกการเข้า
หมอนันทิยา
Global Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 659



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2009, 08:57:37 PM »



การเลือกรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่เหล่า มีผลต่อการเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ในมุมกลับกัน การกินไม่เลือก ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ การได้สารอาหารครบมีความจำเป็นต่อสุขภาพฟันและเหงือก เราพบว่าถ้าขาดอาหารโรคเหงือกอักเสบจะลุกลามเร็วมาก แรงต้านทานต่อการอักเสบจะลดน้อยลง สารอาหารที่เพียงพอจะมีผลดีต่อการเจริญเติบโตของฟันในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับอาหารครบทุกหมู่เหล่าที่มีผลต่อการสร้างฟัน โดยเฉพาะธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และ ฟลูออไรด์ โปรตีน วิตามิน ต่างๆ จริงๆ แล้วฟันของเด็กเริ่มเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ 6 สัปดาห์ อาหารที่คุณแม่ทานย่อมมีผลต่อฟันลูกอย่างแน่นอน

อาหารทำให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบ
อาหารทุกชนิดที่เราทานจะผ่านทางปาก โดยมีการบดเคี้ยวสัมผัสกับเหงือกเป็นด่านแรก คราบอาหารที่หลงเหลือจากการบดเคี้ยว จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดทำลายฟันโดยแบคทีเรีย

อาหารที่ช่วยส่งเสริมทำให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบ
? น้ำตาล ที่ใช้ในการปรุงอาหาร ขนม น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลที่อยู่ในนม น้ำตาลที่ผสมในอาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงต่างๆ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำสลัด น้ำผึ้งที่ผสมในขนม น้ำตาลเหล่านี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหยุดรับประทานทั้งหมด เพราะร่างกายยังต้องการสารอาหาร ที่มีในนม ผลไม้ ผัก
? แป้ง เป็นอาหารที่ทำให้เกิดพลังงาน (มีอยู่ใน ข้าว ขนมปัง ขนม ฯลฯ) ในมุมกลับกันก็ทำให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่ายเช่นกัน

กินต้องเลือก เพื่อให้สุขภาพฟันดีเราต้องปรับวิธีการกิน และรูปแบบการกินเสียใหม่ ผมขอแนะนำว่า
? ลดการทานอาหารระหว่างมื้อ ยิ่งกินบ่อย เพิ่มความถี่ในการกิน จำนวนกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย ก็มีโอกาสสัมผัสกับผิวฟันมากขึ้น ฟันผุ เหงือกอักเสบง่ายขึ้น ตัวอย่างง่ายๆ ในเด็กที่หลับคาขวดนม มักจะมีฟันผุทั้งปากก่อนฟันแท้ขึ้น หรือคนที่ทานอาหารว่างอยู่เรื่อย จะมีฟันผุและเหงือกอักเสบมากกว่าคนที่ทานอาหารตามมื้อ
? ลดทานอาหารหวานเหนียวๆ ติดฟันง่าย เช่น ท้อฟฟี่ น้ำเชื่อมที่มากับขนม น้ำอัดลม อาหารพวกแป้งที่แปรรูป เช่น ขนมปังกรอบ อาหารหวานสำเร็จรูปบางอย่าง เราควรดูฉลากเพื่อตรวจปริมาณน้ำตาล คงต้องเลือกและลดเสีย ไม่ควรทานบ่อยๆ เลือกทานผลไม้เป็นอาหารว่างแทนขนม สุขภาพฟันดี อย่าลืม กินต้องเลือก และแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ ใช้ยาสีฟันที่มีฟูลออไรด์ ป้องกันฟันผุ ใช้ไหมขัดฟัน ทำความสะอาดตามซอกฟัน พบทันตแพทย์ ปี 2 ครั้ง


ถ้าคุณระวังเรื่องอาหารสักหน่อยและทำความสำอาดทุกครั้งหลงรับประทานเป็นประจำ เชื่อแน่ว่าคุณจะมีสุขภาพฟันและเหงือกดีตลอดไป


ขอขอบคุณที่มา : http://women.impaqmsn.com/articles/678/78001270.aspx
บันทึกการเข้า
หมอนันทิยา
Global Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 659



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2009, 09:01:07 PM »



เรื่อง : พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี

ในช่องปากมีอวัยวะสำคัญหลายส่วน เหงือก ฟัน ลิ้น เพดานบน กระพุ้งแก้ม ฐานของลิ้น ริมฝีปาก หากมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณเหล่านี้ คุณต้องระวัง ! ส่วนใหญ่มะเร็งช่องปาก คุณสามารถ
ป้องกันได้ ถ้าหากให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงต่างๆ และอย่าใกล้ชิดมัน


อะไรบ้างที่เป็นความเสี่ยง ?

1. บุหรี่  นอกจากมีผลทำให้เกิดมะเร็งปอดถึง 87% แล้ว บุหรี่มีผลทำให้เกิดมะเร็งในหลอดลม ลำคอ และมะเร็งช่องปากด้วย 90% ของมะเร็งในช่องปากพบในคนสูบบุหรี่ ซึ่งคนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็ง
มากกว่าคนไม่สูบถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังรวมถึงคนที่สูบซิการ์ pipe การเคี้ยวยาเส้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากบุหรี่ สารเคมีที่มีอยู่ในยาเส้น เป็นสารก่อมะเร็งทำให้เกิดมะเร็งบริเวณแก้ม ริมฝีปาก เหงือก ส่วนคนไม่สูบบุหรี่เลย แต่ใกล้ชิดควันของคนที่สูบบุหรี่ อยู่ในสถานที่มีควันบุหรี่มากๆ แล้วสูดเอาควันบุหรี่เหล่านั้น ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งได้เช่นกัน

2. แอลกอฮอล์   ดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์มีโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งในช่องปาก 75-80%
มะเร็งช่องปากเกิดขึ้นในคนที่ดื่มจัด และมีโอกาสเป็นมะเร็งมากถึง 6 เท่าของคนที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าทั้งดื่มจัด สูบบุหรี่มาก ความเสี่ยงต่อมะเร็งช่องปากจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ

3. แสงอัลตร้าไวโอเลต   พบว่า 30% ของคนที่เป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก เกิดในคนที่มีอาชีพกลางแจ้ง ถูกแสงแดดประจำ วิธีที่จะลดความเสี่ยงคือให้ทา lip palm ที่มีสารป้องกันรังสียูวี หรือใส่หมวกกันแดดโดนริมฝีปากและผิวหนัง

4. มีสิ่งระคายเคืองในช่องปากอยู่เสมอ   เช่น

      - ฟันปลอมที่หลวม ใส่แล้วมีแผลในช่องปาก เป็นเวลานานๆ ไม่หาย
      - มีฟันผุ คม บาดลิ้น เวลาเคี้ยวอาหาร หรือพูด
      - ฟันปลอมที่แตกหักแล้วขูดช่องปากอยู่เสมอ

5. อาหารที่มีไขมันสูง   เนื้อแดง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง หากเราได้รับประทานผัก ผลไม้ที่มีกากใยมากๆ ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นกัน

6. อายุ   มะเร็งในช่องปาก มีสถิติพบมากในคนอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอายุ 35 ปีขึ้นไป

7. เพศ   มะเร็งช่องปากพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า น่าจะมีเหตุผลจากผู้ชายดื่มและสูบบุหรี่มากกว่าคุณผู้หญิง


หากมีสิ่งผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้รีบปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์ประจำตัวทันที

- มีสีที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนในช่องปาก เช่น มีสีแดงจัด ฝ้าขาวตามกระพุ้งแก้ม

- มีลักษณะเนื้อหนาตัวขึ้น หรือมีผิวหยาบๆ

- เป็นแผลในช่องปาก เลือดไหลง่าย

- พูด กลืน ขยับลิ้นลำบาก

- มีกลิ่นปาก

- ฟันโยก เก ขากรรไกรบวม

- เป็นแผลในช่องปากเป็นเวลานานๆ ไม่หาย นอกจากในช่องปาก อาการภายนอกที่ร่วมกับมะเร็งที่น่าสังเกต คือ น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ มีก้อนคลำได้บริเวณลำคอ


มะเร็งในช่องปากนั้นหากพบในระยะเริ่มต้นจะรักษาไม่ยุ่งยากและประสบความสำเร็จสูง แต่หากคุณเลี่ยงไม่นำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในช่องปากได้ การพบทันตแพทย์ตรวจสุขภาพในช่องปากเป็นประจำจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เฉพาะเรื่องฟัน และเหงือกเท่านั้น แต่ทันตแพทย์เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับอวัยวะส่วนนี้ สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ง่าย เพื่อรู้ก่อนและสามารถป้องกันได้ก่อน


ขอขอบคุณที่มา :  นิตยสาร Health Today
บันทึกการเข้า
หมอนันทิยา
Global Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 659



ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2009, 09:03:02 PM »

สาเหตุของโรคนอนกรน  ในผู้ใหญ่ อาการนอนกรน มักมีสาเหตุ


อายุ เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อต่างๆ จะขาดความตึงตัว ลิ้นไก่ยาวและเพดานอ่อนห้อยต่ำลง กล้ามเนื้อต่างๆ หย่อนยาน รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ ทำให้ลิ้นไก่และลิ้นตกไปบังทางเดินหายใจได้

เพศ ประมาณร้อยละ 85 ของผู้ป่วยเป็นเพศชาย ทั้งจากการศึกษาทางระบาดวิทยาและการศึกษาผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม พบว่าเพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิง ด้วยอัตราส่วน 7 : 1 แต่เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนพบว่าเพศหญิงมีโอกาสเป็นมากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าฮอร์โมนเพศจะมีผลต่อโรคนี้ได้ เชื่อว่าอิทธิพลของฮอร์โมนส่งผลที่โครงสร้างบริเวณศีรษะและลำคอของเพศชาย เนื้อเยื่อบริเวณคอหนาขึ้นทำให้มีช่องคอแคบกว่าผู้หญิง ฮอร์โมนของเพศหญิงมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจ มีความตึงตัว

ลักษณะโครงสร้างของกะโหลกศีรษะและกระดูกใบหน้าผิดปกติ  เช่น คางเล็ก คางเลื่อนไปด้านหลัง ลักษณะคอยาว หน้าแบน ล้วนทำให้ทางเดินหายใจช่วงบนแคบลงเกิดการอุดตัน และทำให้เกิดการหยุดหายใจได้ โรคที่มีความผิดปกติบริเวณนี้ได้แก่ Down's syndrome , Prader Willi syndrome , Crouzon's
syndrome เป็นต้น

กรรมพันธุ์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ไม่อ้วน แต่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ปัจจัยทางพันธุกรรมน่าจะเป็นสาเหตุหลักของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากกว่าคนปกติ 1.5 เท่า

โรคอ้วน  พบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วย OSAS มี Body Mass Index (BMI) > 28 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือมีน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 20 ของน้ำหนักมาตรฐาน เมื่อลดน้ำหนักได้ 5-10 กิโลกรัมจะทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นได้ ผู้ป่วยที่อ้วนมีโอกาสเกิดการหยุดหายใจขณะหลับมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากไขมันนอกจากจะกระจาย อยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย เช่น ที่สะโพก หน้าท้อง น่อง ต้นขา ยังพบว่ามีเนื้อเยื่อไขมันกระจายอยู่รอบๆทางเดินหายใจช่วงบนมากขึ้น ไขมันที่พอกบริเวณคอจะทำให้เวลาที่ผู้ป่วยนอนลง เกิดน้ำหนักกดทับ ทำให้ช่องคอแคบลงได้ หน้าท้องที่มีไขมันเกาะอยู่มากทำให้กระบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ ความจุของปอดลดลง ล้วนเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดการหยุดหายใจได้โดยง่ายขึ้น

แน่นจมูกเรื้อรัง   จมูกเป็นต้นทางของทางเดินหายใจ ถ้ามีภาวะใดก็ตามที่ทำให้แน่นจมูกเรื้อรัง เช่นมีผนังกั้นจมูกคด เยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรัง หรือเนื้องอกในจมูก ย่อมจะทำให้การหายใจลำบากมากขึ้น

ดื่มสุรา หรือการใช้ยาบางชนิด  จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่คอยพยุงช่องทางเดินหายใจให้เปิด หมดแรงไป เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดตันได้ง่ายขึ้น นอนจากนี้จะกดการทำงานของสมอง ทำให้สมองตื่นขึ้นมาเมื่อมีภาวะการขาดออกซิเจนได้ช้า ซึ่งอาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อหัวใจและสมองได้

การสูบบุหรี่  ทำให้ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจแย่ลง ทำให้คอหอยอักเสบจากการระคายเคือง มีการหนาบวมของเนื้อเยื่อ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง เกิดการอุดตันได้ง่าย และยังส่งผลเสียต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ

โรคต่อมไร้ท่อต่างๆ   ได้แก่ Hypothyroidism, Acromegaly พบว่าทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดตันได้
มากกว่าคนทั่วไป
 

ขอขอบคุณที่มา : http://www.ddjung.com  
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2012, 10:23:50 AM โดย admin » บันทึกการเข้า
jokerzero
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2010, 07:45:27 PM »

มะนาว สุดยอดตัวช่วย ลดน้ำหนัก




เรา เก็บเคล็ดลับดี ๆ จากคอลัมน์ The Lemon Juice Diet ของหนังสือ New Book ที่นักเขียนสาว เธเรซา เชียง ได้ให้คำแนะนำกับปัญหาโรคอ้วน ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรับประทานมะนาว


มะนาว ถูกกล่าวขานว่ามีสรรพคุณในการลดความอ้วนได้อย่างดีที่สุด หาก คุณทำตามกฎหลักทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะน้ำหนักลดลงได้ดั่งใจปรารถนา

1. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า

เพื่อ กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น

2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด

เพราะ ผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง


3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด

โดย การบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย

นอก จากนี้ผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของมะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินมัน คุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว


ที่มา : smilefine.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 24, 2014, 02:06:34 PM โดย admin » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป:  



เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.9 | SMF © 2006-2008, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
designed by จัดฟัน เชียงใหม่
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.103 วินาที กับ 21 คำสั่ง