หัวข้อ: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 13, 2009, 07:02:55 AM จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ขอบคุณที่มา http://www.wimutti.net/ :4: :4: :4: หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ สิงหาคม 13, 2009, 02:08:51 PM จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล http://www.wimutti.net/ ขอบคุณที่มา :4: :4: :4: ขอบคุณ...ที่เอา มาฝาก อีกครั้งครับ หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 14, 2009, 03:58:30 PM ยินดีค่ะ :6: :6:
หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: supachai ที่ สิงหาคม 17, 2009, 08:38:47 PM หลวงปู่ดุลย์ท่านเป็นอริยสงฆ์ ที่เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์ อริยสงฆ์อีกองค์ที่นับเป็นปรากฎการณ์ใหม่ของการเจริญวิปัสสนาในไทย เมื่อลองศึกษาและปฏิบัติตามแล้ว
........จะรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาเป็นอย่างยิ่ง ทพ.ศุภชัย :8: หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: BUSSARA ที่ สิงหาคม 19, 2009, 11:36:55 PM ช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ ว่าต้องดูจิตอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร จิตจึงไม่หนีออกไปนอกกายเราได้ :4:
หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: supachai ที่ สิงหาคม 20, 2009, 12:49:06 AM เก่งครับ ที่ยังเข้าใจได้ว่า การดูจิตคือการดูที่ไม่เกินกายออกไป ทีอ้อนวอนให้มาเรียนกับพระอาจารย์ที่คลินิกผมก็ไม่มา งงต่อไปเถอะนะ
จริงๆแล้วคือไม่กล้าตอบ เพราะ ความหมายที่หนูถามนั้น คือ หนทางอันยิ่งใหญ่ที่มุ่งตรงสู่นิโรธได้ ต้องร่ำเรียนโดยมีครูบาอาจารย์ครับ หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 20, 2009, 09:59:44 AM ช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ ว่าต้องดูจิตอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร จิตจึงไม่หนีออกไปนอกกายเราได้ :4: หลวงปู่ดุลย์เคยสอนไว้ ตอนที่ หลวงปู่รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑ ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียนกับตำหรับตำรา หรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบเราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มากๆเข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง ความรู้อะไรๆให้มันออกมาจากจิตของเรา ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกมาจากจิตนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธ เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากมาย. [-จิตอยู่ในจิต หมายถึง จิตอยู่กับสติ, ส่วนคำบริกรรมพุทโธ หรือสัมมาอรหัง หรือการตามลมหายใจ หรือยุบหนอพองหนอ หรือการเคลื่อนไหวร่างกายหรือส่วนหนึ่งของร่างกาย ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือใช้เป็นอารมณ์ คือสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องล่อคือเครื่องกำหนดของจิต ให้จิตไม่ดำริ(คิด)พล่านออกไปปรุงแต่งต่างๆนา จนเป็นสมาธิตั้งใจมั่นในกิจที่ปฏิบัตินั้นๆ] หมอจอมยุ่ง- หากเรามีศีล สติ ปัญญา กุศลกรรมและดำเนินในทางสายกลาง ก็จะทำให้เราสามารถกำหนดจิตได้ง่ายขึ้นค่ะ หัวข้อ: ธรรมะจากพระผู้รู้ สันตินันท์ (พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน) เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 20, 2009, 04:52:14 PM ธรรมะจากพระผู้รู้ สันตินันท์ (พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)
คำถาม : ถ้าป่วยอยู่ รู้ว่าจะตาย จะท่องพุทโธตลอดดีมั้ยครับ หรือว่ามีสติตามรู้ครับ ถ้ามีสติได้ก็มีสติไปนะ ถ้ามีสติไม่ได้ก็พุทโธไป พุทโธไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็กลับมาเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาอะไรได้ ถ้ามีสติเรื่อยๆไป อาจจะเกิดมรรคเกิดผลอะไรขึ้นเลยก็ได้ แต่ว่าคนเราอยู่ๆจะบอก ตอนจะตายแล้วบอกให้มีสตินี่มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องซ้อมซะก่อนจะตาย ต้องซ้อมให้มีสติซะก่อน เหมือนเราจะตกน้ำแล้ว จะมาถามหาตำราว่ายน้ำเนี่ยไม่ทัน ต้องว่ายน้ำให้เป็นก่อนแล้วตกน้ำแล้วว่ายได้ การที่เราจะฝึกสติจนตายอย่างมีสติได้นี่ เราต้องฝึกให้มีสติตั้งแต่ยังเป็นๆอยู่ งั้นเราคอยมีสติรู้สึกไป ถ้ามันจวนตัวจริงๆ พวกเราฝึกรู้สึกตัว ดูจิต ดูใจ ดูกายชำนาญนะ เวลาเจ็บป่วยจริงๆนะ นอนดูกายมันตาย มีพระองค์หนึ่งท่านไปเรียนกับหลวงพ่อที่ศรีราชา เวลาท่านมาเรียนท่านก็ฝีมือพอๆกับพวกเรานี่แหละ ต่อมาท่านเป็นโรค โรคเดียวกับพุ่มพวง โรคอะไรไม่รู้ชื่อภาษาฝรั่ง เราก็เชยๆ เราก็จำไม่ได้แล้ว หลวงพ่อก็ไปเยี่ยมท่านกะว่าพรุ่งนี้ท่านตาย วันนี้เลยไปเยี่ยมท่านซะหน่อย ไปให้กำลังใจท่าน ไปถึงก็ไปบอก ?ท่านอาจารย์ รอบนี้ตายแน่?นี่ให้กำลังใจนะ ไปให้กำลังใจ ?อาจารย์ตายแน่เลย ยังไงก็ตายรอบนี้? ?ไหนๆ อาจารย์จะตายนะ อาจารย์นอนดูร่างกายมันตายนะ ใจเราเป็นคนดู ดูมันตายไปเลย? นี่ท่านทำได้จริงๆนะ ท่านนอนเห็นร่างกายมันตายนะ จิตท่านเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ ท่านก็ได้กำไรไป ถ้าเราภาวนาไม่เป็น เวลาจะตายนะ ใจทุรนทุราย มีความทุกข์ตั้งแต่ก่อนตายแล้ว ตายไปก็ต้องมีความทุกข์อีก ฉะนั้นอนาคตนะเป็นสิ่งที่เราสร้างเอง งั้นเราอย่าประมาท ต้องฝึกไว้ตั้งแต่ก่อนตาย มีลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคนเลยนะเป็นมะเร็งเป็นอะไร เดี๋ยวนี้คนเป็นมะเร็งเยอะมากเลยเป็นโรคฮิตมากเลย บางคนเป็นมะเร็งแล้วก็บอกว่า หมอบอกอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว มาหาหลวงพ่อนะ บอกกรรมฐานที่เคยทำมาทุกสิ่งทุกอย่างนะ แตกสลายไปหมดแล้ว ทำไม่ได้เลยตอนนี้ บอกคุณทำใจให้สบายนะ จะตายก็ช่างมันเถอะ ให้คอยนึกไว้ว่า ร่างกายนี้ เราขอถวาย เหมือนดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้าไปเลย สละถวายบูชา เป็นพุทธบูชา เราจะมีสติคอยรู้สึกไปเรื่อยๆ ตายก็ตายไป เหมือนถวายดอกไม้กับพระพุทธเจ้าไปแล้ว ปักแจกันไปแล้ว ดอกไม้จะเหี่ยวก็เรื่องของดอกไม้ ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว จนป่านนี้แกยังไม่ตายเลย เพราะใจของแกเข้มแข็งขึ้นมา แกรู้สึกร่างกายนี้ แกสละออกไป ใจเข้มแข็ง ใจตื่น ใจเบิกบาน มีธรรมปีติหล่อเลี้ยงอยู่ ตายยาก มีหลายคนนะ เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเจ็บป่วยจริงๆแล้วทุรนทุรายนี่ ก็เท่ากับเตรียมนรกเป็นที่ไป เจ็บป่วยนะ แล้วก็ห่วงโน้นห่วงนี้ ก็เตรียมไปเป็นเปรต เจ็บป่วยอยู่ แล้วก็เพ้อคลั่ง หลงไปเรื่อยๆ ก็เตรียมไปเป็นเดรัจฉาน งั้นเจ็บป่วยนะ เราก็มีสติไว้ อย่างน้อยคิดถึง พุทโธ พุทโธนะ ก็เป็นมนุษย์ได้ เป็นเทวาดาได้ ทำความสงบเข้ามาได้ก็เป็นพรหมได้ มีสติรู้กายรู้ใจไปเลย อาจจะกำลังแก่กล้าพอ อาจจะได้มรรคผลขึ้นมา คุ้มที่สุดเลย อยู่ที่ว่าเราต้องฝึก ตั้งแต่ก่อนป่วย ตอนนี้กำลังมีเรี่ยวมีแรง ต้องฝึกก่อนนะ รอให้ป่วยหนักแล้วจะถามว่า จะทำกรรมฐานอะไร นี่ไม่ทันแล้วหล่ะ ต้องฝึกซะตั้งแต่ตอนนี้ เหมือนกับก่อนตกน้ำ ต้องว่ายน้ำให้เป็นซะก่อน ต้องฝึกซะก่อน ถึงจะเรียกว่าไม่ประมาท ถ้าประมาท ก็คือตายแหงแก๋ ตายหยังเขียด 29 เมษายน 2552 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: BUSSARA ที่ สิงหาคม 20, 2009, 10:26:39 PM จิตคนเราสำคัญมากจริงๆนะคะ แล้วคำว่า จิตตก ละคะ หมายความเพียงแค่ว่าช่วงเวลาที่เราหัวเสียหรือคิดเป็นอกุศลกับคนอื่นเท่านั้นหรือเปล่าคะ :15:
หัวข้อ: Re: ดูจิต... ด้วยความรู้สึกตัว เริ่มหัวข้อโดย: supachai ที่ สิงหาคม 20, 2009, 11:25:09 PM จิตไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย จิตเกิดและจิตดับอยู่ตลอดเวลาถี่ยิบ เพียงแต่ถ้ามิได้ภาวนาก็จะไม่เห็นความจริงเหล่านี้
การภาวนาแยกกายและจิตออกจากกันนั้นไม่ยาก เห็นกายไม่ใช่ของเราก็ไม่ยาก แต่ยากที่สุดคือ ภาวนาดูจิตจนรู้ว่าตัวจิตเองก็ว่างเปล่าจนปล่อยวางจิตได้ นั่นแหละ.....คือจบงานทางธรรมแล้ว จะพบบรมสุข และไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกเลย จิตตกไม่มีครับ เรียนรู้ธรรมผ่านตัวหนังสือไม่ได้นะหนู หาจุดเริ่มต้นภาวนาแล้วเรียนรู้ไปที่ละขั้น ที่สำคัญต้องมีครูบาอาจารย์ หลวงปู่ดุลย์ท่านก็ละสังขารไปแล้ว หลวงพ่อปาโมทย์ก็อยู๋ศรีราชา แต่ที่สำคัญคือ ...............ความตั้งใจจะปฏิบัติอยู่ที่ตัวหนู เอาจริงหรือปล่าว |