thaiprivatedent.com

Miscellaneous Talk => ห้องนั่งเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 10:12:14 PM



หัวข้อ: ฟังธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 10:12:14 PM
การภาวนาและวิธีการภาวนา โดย "หลวงปู่มั่น"

ภาวนา คือ การอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผลอรรถธรรม รู้จักวิธีปฎิบัติต่อตัวเองและสิ่งทั้งหลาย ยึดการร้ภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งของใจให้อยู่ในเหตุผลอันจะเป็นทางแห่งความสงบสุข ใจที่ยังมิได้รับการอบรมจากภาวนาจึงเปรียบเหมือนสัตว์ที่ยังมิได้รับการฝึกหัด ยังมิได้รับประโยชน์จากมันเท่าที่ควร จำต้องฝึกหัดให้ทำประโยชน์ถึงจะได้รับประโยชน์ตามควร

ใจจึงควรได้รับการอบรมให้รู้เรื่องของตัว จะเป็นผู้ควรแก่การงานทั้งหลาย ทั้งส่วนเล็กและส่วนใหญ่ภายนอกภายใน ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจ จะทำอะไรชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ ไม่เสี่ยงและไม่เกิดความเสียหายแก่ตนและผู้เกี่ยวข้อง การภาวนาจึงเป็นงานเพื่อผลในปัจจุบันและอนาคต การงานทุกชนิดที่ทำด้วยใจของผู้มีภาวนาจะสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยทำด้วยความใคร่ควรญ เล็งถึงประโยชน์ที่จะได้รับเป็นผู้มีหลักมีเหตุผล ถือหลักความถูกต้องเป็นเข็มทิศ ทางเดินของกาย วาจา ใจ ไม่เปิดช่องให้ความอยากอันไม่มีขอบเขตเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะความอยากดั้งเดิมเป็นไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา ซึ่งไม่เคยสนใจต่อความผิด ถูก ดี ชั่วไปจนนับไม่ถ้วนประมาณไม่ถูก จะเอาโทษมันก็ไม่ได้ ยอมให้เสียไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าไม่มีสติระลึกบ้างเลยแล้วของเก่าก็เสียไป ของใหม่ก็พลอยจมไปด้วย ไม่มีวันฟื้นคืนตัวได้ดีวิธีภาวนานั้นลำบากอยู่บ้าง เพราะเป็นวิธีบังคับใจ

วิธีภาวนา ก็คือ วิธีสังเกตตัวเอง สังเกตจิตที่มีนิสัยหลุกหลิกไม่อยู่เป็นปกติสุข ด้วยมีสติตามระลึกรู้
ความเคลื่อนไหวของจิต โดยมีธรรมบทใดบทหนึ่ง เป็นคำบริกรรมเพื่อเป็นยารักษาจิตให้ทรงตัวอยู่ด้ด้วยความสงบสุขในขณะภาวนา ที่ให้ผลดีก็มี อาณาปานสติ คือ กำหนดจิตตามลมหายใจเข้าออกด้วยคำภาวนา พุธโธ พยายามบังคับใจให้อยู่กับอารมณ์แห่งธรรมบท ที่นำมาบิรกรรม ขณะภาวนาพยายามทำอย่างนี้เสมอ ด้วยความไม่ลดละความเพียร จิตที่เคยทำบาปหาบทุกข์อยู่เสมอจะค่อยรู้สึกตัว และปล่อยวางไปเป็นลำดับ มีความสนใจหนักแน่นในหน้าที่ของตนเป็นประจำ จิตที่สงบตัวลงเป็นสมาธิเป็นจิตที่มีความสุขเย็นใจมากและจำไม่ลืม ปลุกใจให้ตื่นตัวและตื่นใจได้อย่างน่าประหลาด

เมื่อพูดถึงการภาวนา บางท่านรู้สึกเหงาหงอยน้อยใจว่าตนมีวาสนาน้อยทำไม่ไหว เพราะกิจการยุ่งยากทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน ตลอดงานสังคมต่างต่าง ที่ต้องเป็นธุระ จะมานั่งหลับตาภาวนาอยู่เห็นจะไม่ทันอยู่ทันกินกับโลกเขา ทำให้ไม่อยากทำประโยชน์ที่ควรได้จึงเลยผ่านไป ควรพยายามแก้ไขเสียบัดนี้ แท้จริงการภาวนา คือ วิธีแก้ความยุ่งยากลำบากใจทุกประเภท ที่เป็นภาระหนักให้เบาหมดสิ้นไปได้ ด้วยอุบายมาแก้ไขไล่ทุกข์ออกจากตัว การอบรมใจด้วยการภาวนา ก็เป็นวิธีหนึ่งแห่งการรักษาตัวเป็นวิธีเกี่ยวกับจิตใจผู้เป็นหัวหน้างานทุกด้าน
 

     ขอขอบคุณที่มา : http://www.kmitl.ac.th/buddhist/tumma/concentrate.html#zz3
 
 


หัวข้อ: วิธีเจริญจิตภาวนาตามแนวการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 13, 2009, 07:30:04 AM
วิธีเจริญจิตภาวนา
วิธีเจริญจิตภาวนาตามแนวการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

๑. เริ่มต้นอริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก
ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว อย่างเดียว

รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ "รู้อยู่เฉยๆ" ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม

เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ

จากนั้น ค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป

ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆ ไป

ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต

พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง

ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว

เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้

ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที

เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ

เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"

การบริกรรม "พุทโธ" เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป

แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่อง ถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ

เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคย เปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย

เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลา และบั่นทอนความศรัทธาตนเองเลย

เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อย ๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าว ก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบ และคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้น ๆ

บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต)

ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสาม คือ ราคะ โทสะ โมหะ

๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไปก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิตให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)

ระวัง จิตไม่ให้คิดเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖

๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อย ๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยการคิด

๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามให้สติสังเกตดูที่ จิต ทำความสงบอยู่ใน จิต ไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติของจิต ได้อย่างละเอียดลออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่า เกิดจากความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่ง หาก่อ หาเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้

คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง

๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใด ๆ ทั้งสิ้น จิตก็อยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น

เรียกว่า "สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"

๗. ใช้หนี้--ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้น ก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะ กรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีก ไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า "พ้นเหตุเกิด"

๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่า ไม่มีธรรม นั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)

เมื่อจิตว่างจาก "พฤติ" ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน

เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร

เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของ จักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"

โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นแบบ "ปริศนาธรรม" มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้น คำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า "พฤติของจิต" แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น

คำว่า "ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต" เหล่านี้ ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่

ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ "พฤติแห่งจิต" อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะคำว่า "มรรคปฏิปทา" นั้น จะต้องอยู่ใน "มรรคจิต" เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย

การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วย วิสุทธิศีล วิสุทธิธรรม พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้


ขอบคุณที่มา http://www.wimutti.net/pudule/dharma1.htm


หัวข้อ: ธรรมะปฏิสันถาร
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 13, 2009, 07:38:54 AM
ธรรมะปฏิสันถาร

         เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์  เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัยและการอยู่สำราญแห่งอริยาบถของหลวงปู่  ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่แล้ว  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระราชปุจฉาว่า "หลวงปู่  การละกิเลสนั้นควรละกิเลสอะไรก่อน" ฯ

         หลวงปู่ถวายวิสัชนา

         "กิเลสทั้งหมดเกิดรวมที่จิต  ให้เพ่งมองดูที่จิต  อันไหนเกิดก่อนให้ละอันนั้นก่อน"

[Webmaster-เป็นการปฏิบัติจิตตานุปัสสนาและเวทนานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ กล่าวคือ จิตหรือสติเห็นอาการของจิต(เจตสิก)ดัง ราคะ โทสะ โมหะ จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ ฯ. หรือจิตเห็นเวทนา กล่าวคือสติเห็นอันใดแล้วก็ละในสิ่งนั้นๆกล่าวคืออุเบกขาเสียนั่นเอง]

 :4: :4:

หลวงปู่ไม่ฝืนสังขาร

         ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ  ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่  หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมแล้ว  เมื่อจะเสด็จกลับทรงมีพระราชดำรัสคำสุดท้ายว่า "ขออาราธนาหลวงปู่ให้ดำรงค์ขันธ์อยู่เกินร้อยปี  เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป  หลวงปู่รับได้ไหม"ฯ

         ทั้งๆที่พระราชดำรัสนี้เป็นสัมมาวจีกรรม  ทรงประทานพรแก่หลวงปู่โดยพระราชอัธยาศัย  หลวงปู่ก็ไม่กล้ารับ และไม่อาจฝืนสังขาร  จึงถวายพระพรว่า

         "อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก  แล้วแต่สังขารจะเป็นไปของเขาเอง."

[Webmaster-แสดงสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสังขารทั้งปวง  แม้แต่ในสังขารกายของพระอริยเจ้า]
 :4: :4:



สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

         อุบาสกผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง  สนทนากับหลวงปู่ว่า  "กระผมเชื่อว่า  แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย  เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฎ  เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้นแล้ว  เขาจะได้มีกำลังใจและความหวัง  เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางปฏิบัติให้เต็มที่" ฯ

         หลวงปู่กล่าวว่า

         "ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว  เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร  เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด"

[เป็นปัจจัตตัง  รู้ได้เฉพาะตน   และการรู้ ล้วนเป็นเพียงรู้เพื่อนิพพิทาญาณ เพื่อการปล่อยวางเป็นสำคัญ]


 :4: :4:
หลวงปู่เตือนพระผู้ประมาท

         ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท  คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำรา  คือมีความพอใจภูมิใจกับจำนวนศีลที่มีอยู่ในพระคำภีร์  ว่า ตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ

         "ส่วนที่ตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น  จะมีสักกี่ข้อ"

[Webmaster-กล่าวแสดง การพ้นทุกข์ว่าไม่ใช่ด้วยการถือศีลแต่ฝ่ายเดียว  ต้องประกอบด้วยการมีจิตที่มี สติ สมาธิที่หมายถึงตั้งใจมั่น เพื่อให้บรรลุถึงปัญญา]

 :4:

จริง  แต่ไม่จริง

         ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน  ทำสมาธิภาวนา  เมื่อปรากฎผลออกมาในแบบต่างๆ  ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น  เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง   ปรากฎในอวัยวะของตนเองบ้าง   ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข  หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก  มีจำนวนมากที่ถามว่า  ภาวนาแล้วก็เห็น นรก  สรรรค์  วิมาน เทวดา  หรือไม่ก็เป็นองค์พระพุทธรูปปรากฎอยู่ในตัวเรา  สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"

[Webmaster-หมายเตือนเรื่องนิมิต ที่ไปยึดหมาย อันจะก่อให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสเป็นที่สุด,  หลวงปู่กล่าวดังนี้เพราะ ผู้ที่เห็นนั้น เขาก็อาจเห็นจริงๆตามความรู้สึกนึกคิดหรือสังขารที่เกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของสัญญาเขา  เพียงแต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ได้เป็นจริงตามนั้น   อ่านรายละเอียดความเป็นไปได้ในบทนิมิตและภวังค์]

 :4:

แนะวิธีละนิมิต

         ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า  นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกยังเป็นของภายนอกทั้งหมด  จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้  ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น  ไม่ก้าวต่อไปอีก  จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร  จึงหลีกไม่พ้น  นั่งภาวนาทีไร  พอจิตจะรวมสงบก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที  หลวงปู่โปรดได้แนะนำวิธีละนิมิตด้วยว่า  ทำอย่างไรจึงจะได้ผล

         หลวงปู่ตอบว่า

        เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี  น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก  แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า  วิธีละได้ง่ายๆก็คือ  อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น   "ให้ดูผู้เห็น  แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง"

[Webmaster-ผู้เห็น หมายถึงจิตหรือสติ จึงหมายถึงกลับมาอยู่กับสติเสียนั่นเอง,   ส่วนผู้ที่เห็นนิมิตอยู่เสมอๆเนื่องจากการปฏิบัติสั่งสมดังนั้นมานานโดยไม่รู้คือตามหรือเชื่อในนิมิต จนเป็นสังขารองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั่นเอง จึงมักเกิดขึ้นเองเสมอๆ แม้โดยไม่ได้เจตนา]


 :4: :4:
เป็นของภายนอก

         เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ หลวงปู่อยู่ในงานประจำปี วัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ  มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปถาม  ทำนองรายงานผลของการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า  เขานั่งวิปัสสนาจิตสงบแล้ว  เห็นองค์พระพุทธรูปในหัวใจของเขา  บางคนว่า ได้เห็นสวรรค์เห็นวิมานของตนเองบ้าง  บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง  พร้อมทั้งภูมิใจว่าเขาวาสนาดี  ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ

         หลวงปู่อธิบายว่า

         "สิ่งที่ปรากฎเห็นทั้งหมดนั้น  ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้นจะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก."

[Webmaster-เป็นเพียงสังขารขึ้นมา ไม่ใช่ของเที่ยงแท้ที่นำพาให้พ้นทุกข์ หรือดับภพชาติ  จึงยังไม่เป็นสาระที่ไปยึดหมาย  สิ่งที่เห็นยังเป็นเพียงนิมิตอยู่เท่านั้นเอง   และพึงแยกแยะหรือพิจารณาให้ดีว่ามาปฏิบัติสมถสมาธิ(สมาธิ)แต่เพียงอย่างเดียว อันอาจเสียการ,   หรือปฏิบัติสมถวิปัสสนา อันดีงาม]

 :4: :4:

หยุดเพื่อรู้

         เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๗ มีพระสงฆ์หลายรูป ทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติได้เข้ากราบหลวงปู่เพื่อรับโอวาทและรับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากันออกเผยแผ่ธรรมทูตครั้งแรก  หลวงปู่แนะวิธีอธิบายธรรมะขั้นปรมัตถ์  ทั้งสอนผู้อื่นและเพื่อปฏิบัติตนเอง ให้เข้าถึงสัจจธรรมนั้นด้วย  ลงท้ายหลวงปู่ได้กล่าวปรัชญาธรรมไว้ให้คิดด้วยว่า

         คิดเท่าไรก็ไม่รู้    ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้    แต่ต้องอาศัยความคิดนั้นแหละจึงรู้

[Webmaster-คิดทั้ง ๓ ต้องจำแนกแตกความให้ถูกต้อง  แต่ละคิดมีความหมายดังนี้    คิดนึกปรุงแต่ง(หมายถึงการคิดฟุ้งซ่านเท่า่นั้น)เท่าไรก็ย่อมไม่รู้จักนิโรธ-การดับทุกข์    ต่อเมื่อหยุดการคิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่ง อันยังให้ไม่เกิดเวทนาอันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาและทุกข์ในที่สุด นั่นแหละจึงจักรู้หรือพบนิโรธหรือความสุขสงบ    แต่ก็ต้องอาศัยการคิดพิจารณาธรรมคือการโยนิโสมนสิการ(ธรรมวิจยะ)เสียก่อนจึงจักรู้เข้าใจด้วยตนเองจึงเกิดกำลังของปัญญา ในโทษของการคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน]

 :4: :4:

ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย

         กาลครั้งนั้น  หลวงปู่ได้ให้โอวาทเตือนพระธรรมทูตครั้งแรกมีใจความตอนหนึ่งว่า ฯ

         "ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ ประกาศพระศาสนานั้น เป็นได้ทั้งส่งเสริมศาสนาและทำลายพระศาสนา ที่ว่าเช่นนี้เพราะองค์ธรรมทูตนั่นแหละตัวสำคัญ คือ เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม มีสมณสัญญาจริยาวัตร งดงามตามสมณวิสัยผู้ที่ได้พบเห็น หากยังไม่เลื่อมใส ก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น  ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว  ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสมากขึ้นเข้าไปอีกฯ  ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัวตรงกันข้ามนี้  ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีกฯ  จึงขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้และความประพฤติ  ไม่ประมาท  สอนเขาอย่างไร  ตนเองต้องทำอย่างนั้นให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย"

 :4:

เมื่อถึงปรมัตถ์แล้วไม่ต้องการ

         ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๔๘๖ หลวงพ่อเถาะ ซึ่งเป็นญาติของหลวงปู่ และบวชเมื่อวัยชราแล้ว  ได้ออกธุดงค์ติดตามท่านอาจารย์เทสก์  ท่านอาจารย์สาม ไปอยู่จังหวัดพังงาหลายปี  กลับมาเยี่ยมนมัสการหลวงปู่  เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติทางกัมมัฎฐานต่อไปอีกจนเป็นที่พอใจแล้ว  หลวงพ่อเถาะพูดตามประสาความคุ้นเคยว่า  หลวงปู่สร้างโบสถ์  ศาลาได้ใหญ่โตสวยงามอย่างนี้  คงได้บุญได้กุศลอย่างใหญ่โตทีเดียว ฯ

         หลวงปู่กล่าวว่า

         "ที่เราสร้างนี่ก็สร้างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม  ประโยชน์สำหรับโลก  สำหรับวัดวาศาสนาเท่านั้นแหละ  ถ้าพูดถึงเอาบุญเราจะมาเอาบุญอะไรอย่างนี้."

[Webmaster-เพราะการดับทุกข์แห่งตน คืออานิสงส์ ผลของบุญอันสูงสุดแล้ว ไม่มีอานิสงส์ของสิ่งใดสูงส่งไปกว่านี้อีกต่อไปแล้ว  กิจอันควรทำยิ่งได้ทำแล้วโดยบริบูรณ์]


 :4: :4:
ทุกข์เพราะอะไร

         สุภาพสตรีวัยเลยกลางคนผู้หนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ พรรณาถึงฐานะของตนว่าอยู่ในฐานะที่ดี  ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใดเลย  มาเสียใจกับลูกชายที่สอนไม่ได้  ไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดี  ตกอยู่ภายใต้อำนาจอบายมุขทุกอย่าง  ทำลายทรัพย์สมบัติและจิตใจของพ่อแม่จนเหลือที่จะทนได้  ขอความกรุณาหลวงปู่ให้ช่วยแนะอุบายบรรเทาทุกข์  และแก้ไขให้ลูกชายพ้นจากอบายมุขนั้นด้วย ฯ

        หลวงปู่ก็แนะนำสั่งสอนไปตามเรื่องนั้นๆ  ตลอดถึงแนะอุบายทำใจให้สงบ   รู้จักปล่อยวางให้เป็น ฯ

        เมื่อสุภาพสตรีนั้นกลับไปแล้ว  หลวงปู่ปรารภธรรมะให้ฟังว่า

        "คนเราสมัยนี้  เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด."

[Webmaster-ความคิด นี้ท่านหมายถึงความคิดชนิดฟุ้งซ่าน หรือความคิดนึกปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ   มิได้หมายความถึงความคิดทั้งมวล แบบยึดถือว่าความว่างอย่างผิดๆ]

 :4:

อุทานธรรม

         หลวงปู่ยังกล่าวธรรมกถาต่อมาอีกว่า  สมบัติพัสถานทั้งหลายมันมีประจำอยู่ในโลกมาแล้วอย่างสมบูรณ์  ผู้ที่ขาดปัญญาและไร้ความสามารถ  ก็ไม่อาจจะแสวงหาเพื่อยึดครองสมบัติเหล่านั้นได้  ย่อมครองตนอยู่ด้วยความฝืดเคืองและลำบากขันธ์   ส่วนผู้ที่มีปัญญาความสามารถ ย่อมแสวงหายึดสมบัติของโลกไว้ได้อย่างมากมายอำนวยความสะดวกสบายแก่ตนได้ทุกกรณีฯ   ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพยายามดำเนินตนเพื่อออกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ไปสู่ภาวะแห่งความไม่มีอะไรเลย  เพราะว่า

         "ในทางโลก  มี สิ่งที่ มี   ส่วนในทางธรรม มี สิ่งที่ ไม่มี"

 :4:

อุทานธรรมต่อมา

         เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว  จิตก็จะหมดพันธะกับเรื่องโลก  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  จะดีหรือเลว  มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น  แล้วจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด  เมื่อเข้าใจผิดก็หลง ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ  อันโทษทัณฑ์ทางกายอาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง  ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง

         "พระอริยเจ้าทั้งหลาย  ท่านพ้นจากโทษทั้งสองทางความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"


 :4: :4:
อุทานธรรมข้อต่อมา

         เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมดแล้ว  และได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว  ก็นับว่าเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้  แต่ยังเป็นได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น  ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่งที่รกรุงรังทางใจ  อันได้แก่อารมณ์ตกตํ่าทางใจได้แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุในภายในได้ฯ

         ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว  สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อยเช่นเหา  ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด   จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว  ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ฉันนั้น  ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ควรเรียกได้ว่า "เป็นภิกษุแท้"

 :4:

พุทโธเป็นอย่างไร

         หลวงปู่รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑  ในช่วงสนทนาธรรม  ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร  หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

         เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก  ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด  ความรู้ที่เราเรียนกับตำหรับตำรา   หรือจากครูบาอาจารย์  อย่าเอามายุ่งเลย  ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้  รู้จากจิตของเรานั่นแหละ  จิตของเราสงบเราจะรู้เอง  ต้องภาวนาให้มากๆเข้า  เวลามันจะเป็น  จะเป็นของมันเอง  ความรู้อะไรๆให้มันออกมาจากจิตของเรา

         ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกมาจากจิตนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

         ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว  อย่าส่งจิตออกนอก  ให้จิตอยู่ในจิต  แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง  ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ  พุทโธอยู่นั่นแหละ  แล้วพุทโธ  เราจะได้รู้จักว่า  พุทโธ  นั้นเป็นอย่างไร  แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ  ไม่มีอะไรมากมาย.

[Webmaster-จิตอยู่ในจิต หมายถึง จิตอยู่กับสติ,   ส่วนคำบริกรรมพุทโธ หรือสัมมาอรหัง หรือการตามลมหายใจ หรือยุบหนอพองหนอ หรือการเคลื่อนไหวร่างกายหรือส่วนหนึ่งของร่างกาย ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือใช้เป็นอารมณ์ คือสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องล่อคือเครื่องกำหนดของจิต ให้จิตไม่ดำริ(คิด)พล่านออกไปปรุงแต่งต่างๆนา จนเป็นสมาธิตั้งใจมั่นในกิจที่ปฏิบัตินั้นๆ]


 :4:
อยากได้ของดี

         เมื่อต้นเดือนกันยายน ๒๕๒๖ คณะแม่บ้านมหาดไทย โดยมีคุณหญิงจวบ จิรโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ ได้นำคระแม่บ้านมหาดไทยไปบำเพ็ญสังคมสงเคราะห์ทางภาคอีสาน  ได้ถือโอกาสแวะมนัสการหลวงปู่ เมื่อเวลา ๑๘.๐๐ น.ฯ

         หลังจากกราบมนัสการและถามถึงอาการสุขสบายของหลวงปู่และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากหลวงปู่แล้ว  เห็นว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบาย  ก็รีบออกมา  แต่ยังมีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง  ถือโอกาสพิเศษกราบหลวงปู่ว่า  ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ ฯ

         หลวงปู่จึงเจริญพรว่า  ของดีก็ต้องภาวนาเอาจึงจะได้  เมื่อภาวนาแล้ว  ใจก็สงบ  กายวาจาก็สงบ  แล้วกายก็ดี  วาจาใจก็ดี  เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง

        ดิฉันมีภาระมาก  ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนา  งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน  มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ ฯ

        หลวงปู่จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า

         "ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ  ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา"


 :4:
มี  แต่ไม่เอา

         ปี ๒๕๒๒ หลวงปู่ไปพักผ่อน และเยี่ยมอาจารย์สมชายที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี  ขณะเดียวกันก็มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ  คือพระธรรมวราลังการ วัดบุปผารามเจ้าคณะภาคทางภาคใต้ไปอยู่ฝึกกัมมัฏฐานเมื่อวัยชราแล้ว  เพราะมีอายุอ่อนกว่าหลวงปู่เพียงปีเดียว ฯ

         เมื่อท่านทราบว่าหลวงปู่เป็นพระฝ่ายกัมมัฏฐานอยู่แล้ว  ท่านจึงสนใจและศึกษาถามถึงผลของการปฏิบัติ  ทำนองสนทนาธรรมกันเป็นเวลานาน  และกล่าวถึงภาระของท่านว่า มัวแต่ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดวัยชรา  แล้วก็สนทนาข้อกัมมัฏฐานกับหลวงปู่อยู่เป็นเวลานาน  ลงท้ายถามหลวงปู่สั้นๆว่า  ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม ฯ

หลวงปู่ตอบเร็วว่า

         "มี  แต่ไม่เอา"

[Webmaster-หมายถึงมีความโกรธเกิดขึ้นในระดับของขันธ์ ๕ ธรรมดาในลำดับแรก  แล้วไม่เอาไปคิดนึกปรุงแต่งต่อซึ่งย่อมไม่มีสังขารเกิดขึ้นใหม่อีก  ดังนั้นเวทนาก็่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้จึงระงับไปเช่นกัน  เมื่อดับเวทนา(ที่หมายถึง ไม่ปรุงแต่งให้เกิดเวทนาขึ้นอีก)เสียแล้ว  ตัณหาและอุปปาทานความเป็นตัวตนของตนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อันเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทธรรม,  ความโกรธจะไปอาศัยเหตุเกิดกับสิ่งใดได้ จึงต้องดับไปอย่างรวดเร็ว  ไม่เกิดอาการ เกิดดับๆๆๆ จนต่อเนื่องแลเป็นสายเดียวกันคือยืดยาวนาน อันเป็นทุกข์]

 :4: :4:

รู้ให้พร้อม

         ระหว่างที่หลวงปู่พักรักษา  ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ  ในรอบดึกมีจำนวนหลายท่านด้วยกัน  เขาเหล่านั้นมีความสงสัยและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง  โดยที่สังเกตว่า  บางวันพอเวลาดึกสงัดตีหนึ่งผ่านไปแล้ว  ได้ยินหลวงปู่อธิบายธรรมะนานประมาณ ๑๐ กว่านาที  แล้วสวดยถาให้พร  ทำเหมือนหนึ่งมีผู้มารับฟังอยู่เฉพาะหน้าเป็นจำนวนมาก ครั้นจะถามพฤติการที่หลวงปู่ทำเช่นนั้นก็ไม่กล้าถาม  ต่อเมื่อหลวงปู่ทำเช่นนั้นหลายๆครั้ง  ก็ทนสงสัยต่อไปไม่ได้  จึงพากันถามหลวงปู่ตามลักษณาการนั้นฯ

        หลวงปู่จึงบอกว่า

        "ความสงสัยและคำถามเหล่านี้  มันไม่ใช่เป็นแนวทางปฏิบัติธรรม"

 :4:

ประหยัดคำพูด

         คณะปฏิบัติธรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์หลายท่าน  มีร้อยตำรวจเอกบุญชัย สุคนธมัต อัยการจังหวัด เป็นหัวหน้า  มากราบหลวงปู่ เพื่อฟังข้อปฏิบัติธรรมแลเรียนถามถึงการปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไปอีก  ซึ่งส่วนมากก็เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละองค์มาแล้ว  และแสดงแนวทางปฏิบัติไม่ค่อยจะตรงกัน  เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น  จึงขอกราบเรียนหลวงปู่โปรดช่วยแนะแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง  และทำได้ง่ายที่สุด  เพราะหาเวลาปฏิบัติธรรมได้ยาก  หากได้วิธีที่ง่ายๆ แล้วก็จะเป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "ให้ดูจิต  ที่จิต"

[Webmaster- จิต นี้มีความหมายถึงจิตตสังขารหรือเจตสิกคืออาการของจิต เช่น จิตมีราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ. และอาจหมายรวมถึงเวทนาอีกด้วยก็ได้,   จึงมิได้มีความหมายถึง จิตที่เป็นดวง เป็นแสงเป็นโอภาส  หรือวิญญาณในลักษณะเจตภูต หรือเป็นนิมิตใดๆทั้งสิ้น]

 :4: :4:

ง่าย  แต่ทำได้ยาก

         คณะของคุณดวงพร ธารีฉัตร จากสถานีวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ นำโดยคุณอาคม ทันนิเทศ  เดินทางไปถวายผ้าป่า  และกราบนมัสการครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆทางอีสาน  ได้แวะกราบมนัสการหลวงปู่ หลังจากถวายผ้าป่า  ถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่หลวงปู่  และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากท่านแล้ว  ต่างคนต่างก็ออกไปตลาดบ้าง  พักผ่อนตามอัธยาศัยบ้าง

         มีอยุ่กลุ่มหนึ่งประมาณสีห้าคน  เข้าไปกราบหลวงปู่แนะนำวิธีปฏิบัติง่ายๆ  เพื่อแก้ไขความทุกข์ความกลุ้มใจ  ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ  ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผลเร็วที่สุด ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "อย่าส่งจิตออกนอก."

[Webmaster-อย่าส่งจิตออกนอก ไปคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านคือไปเสวยอารมณ์(รูป เสียง กลิ่น ฯ.)ภายนอก   หรือให้พิจารณาอยู่ในกาย, เวทนา, จิต, ธรรม ในสติปัฏฐาน ๔

ข้อควรระวัง พิจารณาอยู่ในกายหรือภายในกาย ไม่ใช่หมายถึง "จิตส่งใน" ที่จิตเคยเป็นสมาธิหรือฌาน แล้วคอยสอดส่องหรือจับสังเกตุแต่กายหรือจิตของตนเอง ด้วยความเคยชินสั่งสมจากการเสพรสอันสุขสบายจากอำนาจของฌานหรือความสงบจากสมาธิ และมักขาดการวิปัสสนา   อย่างนี้จัดเป็นอันตรายอย่างยิ่งในภายหลัง ที่ย่อมสั่งสมจนเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาทธรรมในที่สุด จึงกล้าแข็งเป็นสังโยชน์ขั้นละเอียด ที่แก้ไขได้ยากมาก]


 :4:
ทิ้งเสีย

         สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เป็นชนชั้นครูบาอาจารย์  เมื่อฟังธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่จบแล้ว  ก็อยากทราบถึงวิธีไว้ทุกข์ที่ถูกต้องตามธรรมเนียม  เขาจึงพูดปรารภต่อไปอีกว่า  คนสมัยนี้ไว้ทุกข์กันไม่ค่อยจะถูกต้องและตรงกัน  ทั้งๆที่สมัย ร.๖ ท่านทำไว้เป็นแบบอย่างดีอยู่แล้ว เช่น เมื่อมีญาติพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรมลง ก็ให้ไว้ทุกข์ ๗ วันบ้าง ๕๐ วันบ้าง  ๑๐๐ วันบ้าง  แต่ปรากฎว่าคนทุกวันนี้ทำอะไรรู้สึกว่าลักลั่นกันไม่เป็นระเบียบ  ดิฉันจึงขอเรียนถามหลวงปู่ว่า  การไว้ทุกข์ที่ถูกต้อง  ควรไว้อย่างไรเจ้าคะ ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "ทุกข์  ต้องกำหนดรู้   เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย   ไปไว้มันทำไม."

[Webmaster-หลวงปู่สอนกิจญาณในอริยสัจ๔,  อ่านรายละเอียดของกิจอันพึงกระทำในแต่ละอริยสัจได้ในบท อริยสัจ ๔]


 :4: :4:
จริง ตามความเป็นจริง

         สุภาพสตรีชาวจีนผู้หนึ่ง  ถวายสักการะแด่หลวงปู่แล้ว  เขากราบเรียนถามว่า  ดิฉันจะต้องไปอยู่ที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรมย์เพื่อทำมาค้าขายอยู่ใกล้ญาติทางโน้น  ทีนี้ทางญาติๆก็เสนอแนะว่า  ควรจะขายของชนิดนั้นบ้าง  ชนิดนี้บ้าง  ตามแต่เขาจะเห็นดีว่าอะไรขายได้ดี   ดิฉันยังมีความกังวลใจตัดสินใจเอาเองไม่ได้ว่าจะเลือกขายของอะไร  จึงให้หลวงปู่ช่วยแนะนำด้วยว่า  จะให้ดิฉันขายอะไรจึงจะดีเจ้าคะ ฯ

         "ขายอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ  ถ้ามีคนซื้อ."


 :4:
ไม่ได้ตั้งจุดหมาย

         เมื่อจันทร์ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒  คณะนายทหารประมาณ ๑๐ กว่านายเข้านมัสการหลวงปู่เมื่อเวลาคํ่าแล้ว  ก็จะเดินทางต่อเข้ากรุงเทพ ฯ  ในคณะนายทหารเหล่านั้น  มียศพลโทสองท่าน  หลังสนทนากับหลวงปู่เป็นเวลาพอสมควร  ก็ถอดเอาพระเครื่องจากคอของแต่ละท่านรวมใส่ในพานถวายให้หลวงปู่ช่วยอธิษฐานแผ่เมตตาพลังจิตให้  ท่านก็อนุโลมตามประสงค์  แล้วก็มอบคืนไป  นายพลท่านหนึ่งถามว่า  ทราบว่ามีเหรียญหลวงปู่ออกมาหลายรุ่นแล้ว  อยากถามหลวงปู่ว่ามีรุ่นไหนดังบ้าง ฯ

         หลวงปู่ตอบว่า

         "ไม่มีดัง"

 :4: :3:

คนละเรื่อง

         มีชายหนุ่มจากต่างจังหวัดไกลสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่  ขณะที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่มุขศาลาการเปรียญ  ดูอากัปกิริยาของเขาแล้วคงคุ้นเคยกับพระนักเลงองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อนแล้ว  สังเกตุจากการนั่งการพูด  เขานั่งตามสบาย  พูดตามถนัด  ยิ่งกว่านั้นเขาคงเข้าใจว่าหลวงปู่นี้คงสนใจกับเครื่องรางของขลังอย่างดี  เขาพูดถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่นๆ  ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง  ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่  คนหนึ่งมีหมูเขี้ยวตัน  คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ  อีกคนมีนอแรด  ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้  มีคนหนึ่งเอ่ยปากว่า  หลวงปู่ฮะ  อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันฮะ ฯ

        หลวงปู่ก็อารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษยิ้มๆ แล้วว่า

        "ไม่มีดี  ไม่มีวิเศษอะไรหรอก  เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน."

[Webmaster-ท่านกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเป็นที่สุด เพราะต่างล้วนแล้วแต่เป็นศรัทธาอย่างอธิโมกข์ ด้วยกำลังของสีลัพพตุปาทาน หรือทิฏฐุปาทาน]

 :4:

ปรารภธรรมะให้ฟัง

         คราวหนึ่ง  หลวงปู่กล่าวปรารภธรรมะให้ฟังว่า  เราเคยตั้งสัจจะจะอ่านพระไตรปิฎกจนจบ  ในพรรษาที่ ๒๔๙๕  เพื่อสำรวจดูว่าจุดจบของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน  ที่สุดแห่งสัจจธรรม  หรือที่สุดของทุกข์นั้น  อยู่ตรงไหน   พระพุทธเจ้าทรงกล่าวสรุปไว้ว่าอย่างไร  ครั้นอ่านไป  ตริตรองไปกระทั่งถึงจบ  ก็ไม่เห็นตรงไหนที่มีสัมผัสอันลึกซึ้งถึงจิตของเราให้ตัดสินใจได้ว่า  นี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์  ที่สุดแห่งมรรคผล  หรือที่เรียกว่านิพพาน ฯ

         มีอยู่ตอนหนึ่ง  คือ  ครั้งนั้นพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ  พระพุทธเจ้าตรัสเชิงสนทนาธรรมว่า  สารีบุตร  สีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก  วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนัก  อะไรเป็นวิหารธรรมของเธอ  พระสารีบุตรกราบทูลว่า "ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์"  (สุญฺญตา) ฯ

         ก็เห็นมีเพียงแค่นี้แหละ  ที่มาสัมผัสจิตของเรา.
 :4: :4:


ปรารภธรรมะให้ฟัง

         จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว  จำพระธรรมได้มากมาย  พูดเก่งอธิบายได้อย่างซาบซึ้ง  มีคนเคารพนับถือมาก  ทำการก่อสร้างวัตถุไว้ได้อย่างมากมาย  หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม  "ถ้ายังประมาทอยู่  ก็นับว่ายังไม่ได้รสชาติของพระศาสนาแต่ประการใดเลย  เพราะสิ่งเหล่านี้ยังเป็นของภายนอกทั้งนั้น  เมื่อพูดถึงประโยชน์  ก็เป็นประโยชน์ภายนอกคือเป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม  เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น  เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง  หรือเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนวัตถุ  ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้น  คือ  ความพ้นทุกข์  "จะพ้นทุกข์ได้ต่อเมื่อรู้ จิตหนึ่ง."
 :4: :4:

ขอบคุณที่มา http://www.nkgen.com/pudule.htm


หัวข้อ: FW: อำนาจแห่งจิต
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 13, 2009, 08:37:14 AM
FW: อำนาจแห่งจิต

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่อเมริกา หลายปีมาแล้ว
ชายคนหนึ่งเป็นคนทำความสะอาดรถแช่เย็น วันนั้นขณะที่เขากำลังทำความสะอาดห้องเย็นของรถคันหนึ่ง
อยู่ เกิดลมพัดปิดประตูห้องเย็น
เขาพยายามตะโกนเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีใครได้ยิน คนอื่นกลับบ้านไปแล้ว เพราะเป็นเย็นวันศุกร์
กว่าจะมีคนมาอีกทีก็เช้าวันจันทร์!!!
เขาคิดว่าเขาคงต้องตายแน่ๆ ในอุณหภูมิ -10 องศา คนปรกติคงรอดได้ไม่นาน
เขาเลยคิดจะทำความดีครั้งสุดท้ายโดยเขียนให้รู้ว่า คนที่ต้องตายเพราะความเย็นจัดนั้นจะมีอาการเช่น
ไร อย่างน้อยมันยังเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์ เขาเขียนทุกอย่างที่เขารู้สึกอย่างละเอียด...

เช้าวันจันทร์มีคนมาพบศพ ชายผู้นี้ พร้อมกับกระดาษที่เขาเขียนเอาไว้
ทางการแพทย์ บอกว่า มันเป็นอาการของคนที่ตายจากความเย็นจัด จริงๆ ตรงทุกประการ
แต่สิ่งเดียวที่ผิดปรกติก็คือ...ห้องเย็นนั้น ไม่ได้เปิดระบบทำความเย็นเอาไว้ มันเป็นอุณหภูมิปกติ!!!!!
เขาตายเพราะเขาคิดไปเอง!!!!!
**********************
เรื่องต่อมา เป็นเรื่องที่โด่งดังมาก เกิดเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ที่ประเทศอังกฤษ
คุกที่เมือง บริสตอล นักโทษคนหนึ่งโดนตัดสินประหาร ชีวิตด้วยการแขวนคอในวันรุ่งขึ้น
เย็นวันก่อนประหาร มีนักจิตวิทยา2คนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ทำงานทดลอง ได้ปลอมตัว มาบอก
กับนักโทษประหารคนนี้ว่า พรุ่งนี้แทนที่เขาจะโดนแขวนคอ ได้มีการเปลี่ยนกฎหมายใหม่จากการแขวนคอ
มาเป็นเชือดคอแทน!!!!

นักโทษผู้น่าสงสาร คงไม่ได้นอนทั้งคืนและคิดแต่ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องโดนเชือดคอ และเมื่อตอนเช้า
มาถึง เขาถูกมัดมือไพล่หลังเอาผ้าปิดตา และถูกพาตัวมา ณ ห้องแห่งหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้เลยว่า มัน เป็น
แค่ห้องสังเกตการณ์ เฉยๆ เขานึกว่าเป็นห้องประหาร!!!

ได้มีการจัดฉากไว้เรียบร้อย ในห้องนั้นมี นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และ มีพระมาสวดครั้งสุดท้ายให้เขา
และนักจิตวิทยาคนแรก แสดงเป็นคนลงมือเชือดคอนักโทษคนนี้
มีดที่ใช้เชือดคอ ก็คือมีดแบบที่เขาใช้โกนหนวด แต่เขาเอาด้านทื้อของมีดพาดผ่านไปที่ลำคอ
(เขาบอกว่ามีดนั้นไม่ได้สัมผัสลำคอนักโทษเลยแม้แต่น้อย ) แล้วนักจิตวิทยา อีกคน ทำเสียงน้ำไหล ให้
เหมือนเลือดกำลังไหล

นักโทษคนนี้ รู้สึกเย็นที่ลำคอเพราะโลหะของมีดโกน และได้ยินเสียงน้ำไหลเขาคิดว่า เลือดเขากำลัง
ไหลออกจากคอหอย แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตรงนั้นเอง !!!!! เขาตายเพราะเขาเชื่อว่าเขาตายแน่
เขาคิดไปเอง!!!!

******************
จากเรื่องที่เล่ามาทั้ง 2 เรื่อง เป็นเรื่องจริง และทำให้เราเห็นได้ เลยว่าความเชื่อ และใจคิดของคน
เรา นั้นมีอำนาจมากแค่ไหน และถ้ามันฆ่าเราได้
จินตนาการดูซิว่ามันจะช่วยให้เราได้มากแค่ไหน????

ในทางพุทธศาสนาจึงบอกว่า \"ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน\"\"ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจของเรานี้เอง\"
ถ้าเรากลัวตาย และคิดว่าเราจะตาย เราก็จะตาย เพราะความกลัวที่เกิดจากใจที่คิดไปนั่นเองที่ฆ่าเรา!!!!

ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราต้องเจอล้วนมาจาก ใจที่เป็นลบ ใจที่คิดแต่เรื่องไม่ดี
ดังนั้น เราต้องแก้ไขที่ใจของเรานี้ เวลาเราอยู่ในอารมณ์ที่ดีๆ ใจสบายๆ มีเรืองเกิดขึ้นเราจะรู้สึกว่าเรื่องเล็กน้อย

ธรรมชาติของคนเรา เวลาเราเป็นสุข เราอยากจะแบ่งปันความสุข เช่น
เวลาเราสอบได้ดี ได้เลื่อนขั้น ถูกหวย เราแทบจะวิ่งแจ้นไปบอกเพื่อนฝูง เวลาความรักของเรากำลังไปด้วยดี
เราจะเห็นโลกเป็นสีชมพูทุกอย่าง อะไรก็ได้ ดีไปหมด

แต่ ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็จะหน้าตาบูดบึ้ง ใส่คนที่อยู่รอบๆ เรา
โมโหเป็นฟืนเป็นไฟแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย และบ่นๆ เจอหมาเตะหมา เจอแมวเตะแมว เพราะว่าเรากำลัง เป็นทุกข์!!
เราอยากจะให้ทุกคนรู้ว่า ฉันเป็นทุกข์นะ ช่วยฉันด้วย.. (เพียงแต่เราไม่ได้พูด)
แต่กลับแสดง ออกด้วยการ\" ร้าย\" ใส่คนอื่น!!!

และนี้ก็คือสิ่งที่ท่านพยายามบอกเราว่า ให้เรารักษาใจของเราให้เป็นสุขอยู่เสมอ โดยวิธีทำสมาธิ
การทำสมาธิคือ การหยุดคิดทุกสิ่งในโลก อดีต อนาคต หยุดความกังวล และ
มีความสงบสุข และสันติสุข..

ใจที่จะทำการงานได้ดี คิดได้ดี คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ก็คือ ใจที่สงบสุขจากการทำสมาธิ นี้เอง.

ขอบคุณทีมา http://www.budpage.com/forum/view.php?id=4937


หัวข้อ: Re: ฟังธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: supachai ที่ สิงหาคม 17, 2009, 08:28:55 PM
สวัสดีครับ
                   น่ารักมากๆเลยครับที่อุตส่าห์ไปรวบรวมเอามาลงไว้  เนื้อหาตรึงผมไว้ที่กระทู้นี้อยู่นานทีเดียว 
                                                                                     
                                                                                                                       อนุโมทนาครับ  :8:


หัวข้อ: Re: ฟังธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 17, 2009, 08:32:11 PM
สวัสดีครับ
                   น่ารักมากๆเลยครับที่อุตส่าห์ไปรวบรวมเอามาลงไว้  เนื้อหาตรึงผมไว้ที่กระทู้นี้อยู่นานทีเดียว 
                                                                                     
                                                                                                                       อนุโมทนาครับ  :8:

อนุโมทนาค่ะ