thaiprivatedent.com

Miscellaneous Talk => ห้องนั่งเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 09:03:13 PM



หัวข้อ: คิดบวก ชีวิตบวก
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 09:03:13 PM
ข้อมูลจาก Forward mail
โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

วลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์


  
ขอขอบคุณที่มา : http://www.kapook.com  :6: :6: :6:
                        


หัวข้อ: Re: คิดบวก ชีวิตบวก
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 09:07:18 PM
ข้อดีของความทุกข์


ถ้าเรามองความทุกข์ในแง่ที่ดีบ้าง

บางทีเราอาจจะทุกข์น้อยลงก้อได้ ... เอาลองดูซะหน่อย...

....................................................................


รู้สึกว่าช่วงนี้ผมจะซี้กับความทุกข์มาก ถึงจะมีความสุขเข้ามา...
แต่สุดท้ายความสุขก็โดนความทุกข์กลืนกิน
เลยคิดว่าถ้าเรามองความทุกข์ในแง่ที่ดีบ้าง
บางทีเราอาจจะทุกข์น้อยลงก้อได้ ... เอาลองดูซะหน่อย...

ข้อดีของความทุกข์

1.ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
2.ทำให้รู้ถึงค่าของความสุข
3.ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
4.ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำ (ทำเพื่อให้หายทุกข์
5.ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น
6.ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
7.ทำให้ความสุขมีค่ามากขึ้น
8.ทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้น
9.ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
10.ทำให้เราเห็นได้ว่า ใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา
11.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา
12.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา
13.ทำให้รู้ได้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน
14.ทำให้เรารู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน
15.ทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง
16.ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น
17.ทำให้เราพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
18.ทำให้เรามาค้นหาข้อดีของความทุกข์

ขอบคุณข้อมูลจากทำดีดอทเน็ต(ERN)


ขอขอบคุณที่มา : http://www.teenee.com



หัวข้อ: Re: คิดบวก ชีวิตบวก
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 09:08:53 PM
วาจาสุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงฝากไว้


พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นหลักการ ถ้าว่าตามปัจฉิมวาจาหรือวาจาสุดท้าย ก็ตรัสบอกว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง หรือสังขารทั้งหลาย มีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นชีวิตมนุษย์ก็ตาม หรือสังคมอารยธรรมอะไรต่าง ๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว ก็มีการแตกสลายกันไปตามเหตุปัจจัย สิ่งที่มนุษย์ต้องทำคือ ต้องไม่ประมาท ดังนั้นก็ตรัสฝากไว้ว่า ? ให้ไม่ประมาท ?

เมื่อเราไม่ประมาท เราก็จะใช้ประโยชน์จากหลักอนิจจังหรือความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้อง ว่าในขณะที่สิ่งทั้งหลายเสื่อมสลายเปลี่ยนแปลงไป

หนึ่ง ตัวเราเองไม่นิ่งนอนใจ เรากระตือรือร้นในการที่จะพัฒนาชีวิตของตน ให้วันเวลาผ่านไปอย่างดีที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด

อะไรที่จะเป็นเหตุปัจจัยของความเจริญงอกงาม ก็ชวนกันรีบสร้างสรรค์ขึ้น

อันนี้เป็นหลักปฏิบัติในการเป็นอยู่โดยไม่ประมาท

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอนิจจัง คือเรื่องไม่เที่ยง มักจะตรัสควบกับความไม่ประมาท นั่นคือมนุษย์จะได้ประโยชน์จากความไม่เที่ยง และจากเรื่องของการแตกสลายเสื่อมโทรมซึ่งเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่มันไม่คงทนอยู่ตลอดไป แต่ที่สำคัญก็คือหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่า การที่สิ่งทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรนั้น มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย มนุษย์จะอยู่ได้ดีที่สุดก็ต้องไม่ประมาท ไม่ประมาทอย่างไร

หนึ่ง ในการศึกษาเรียนรู้ ให้เข้าใจเหตุปัจจัย

สอง นำความรู้นั้นมาปฏิบัติแก้ไขเหตุปัจจัยที่จะทำให้เสื่อม และสร้างสรรค์เหตุปัจจัยที่จะทำให้เจริญ อย่างน้อยก็ดำรงรักษาเหตุปัจจัยในฝ่ายดีไว้

อย่างสังคมไทยเราปัจจุบันนี้ ควรจะพิจารณาตรวจสอบดูว่าชีวิตและสังคมของเราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทไหม และมีสภาพของความเสื่อมมากมายหรือเปล่า พวกเรากำลังทำเหตุปัจจัยของความเสื่อมกันอยู่มากมายหรือเปล่า

ในแง่ของความเจริญ เราเจริญจริงหรือเปล่า และเราทำเหตุปัจจัยของความเจริญกันบ้างหรือเปล่า หรือว่าเราได้เพียงแค่รับเอาภาพของความเจริญมา แต่เราไม่ได้ทำเหตุปัจจัยของความเจริญ เราอาศัยเหตุปัจจัยของความเจริญจากที่อื่น และรับเอาแต่เพียงผลจากเขา ใช่หรือไม่

ถ้าเราไม่ทำเหตุปัจจัยของความเจริญ เราจะเจริญงอกงามได้ยาก สิ่งที่เอามานั้นเป็นเหมือนของยืม หรือเป็นของที่ถูกหลอกถูกล่อให้เอามาใช้หลอกตัวเองเท่านั้น ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ยั่งยืน อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องมาวิเคราะห์ตรวจสอบตัวเองกันบ้าง

ตามหลักพุทธศาสนา สังคมพุทธต้องเป็นสังคมแห่งปัญญา เมื่อจะมีศรัทธาก็ต้องมีเราเป็นศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่แท้หรือไม่

หนึ่ง ที่ว่าเรามีศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น เรามีศรัทธาถูกต้องหรือเปล่า ศรัทธาของเราเป็นศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่แท้หรือไม่

สอง ศรัทธาที่จะถูกต้องก็คือต้องมีปัญญา เรามีปัญญาประกอบหรือไม่

สาม เรามีการพัฒนาในเรื่องศรัทธาและปัญญานี้หรือไม่

เราได้มีการวิเคราะห์สภาวการณ์และใช้ปัญญากันจริงจังหรือเปล่า แม้แต่จะสร้างวิถีชีวิตแห่งปัญญาให้เกิดเป็นวัฒนธรรมแห่งปัญญา เช่นมีความใฝ่รู้ ชอบศึกษา เราทำกันบ้างไหม การใฝ่รู้ชอบศึกษาทำให้เกิดความเจริญปัญญาในตนเอง แต่นอกจากนั้นยังทำให้เรารู้เข้าใจสภาพความเป็นจริงของชีวิตและเหตุการณ์ของโลก ซึ่งจะทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้เท่าทันว่าโลกที่เจริญอย่างปัจจุบันนี้ เจริญจริงหรือเปล่า เจริญในแง่ไหน มีความเสื่อมพ่วงอยู่ หรือซ่อนอยู่อย่างไร มีเหตุปัจจัยอย่างไร เราควรจะเลือกรับส่วนไหนและจะนำมาปรับใช้ จะแก้ไข จะพัฒนาต่อไปอย่างไร

มนุษย์ที่มีปัญญา เป็นชาวพุทธ จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาและแก้ไข ไม่ใช่ตื่นไปกับภาพของสิ่งที่จะมาบำรุงบำเรอฉาบฉวยผิวเผินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีหลัก คติพระพุทธศาสนาที่จะนำมาใช้ปฏิบัติได้มีมากมาย อยู่ที่เราจะใช้ปัญญาวิเคราะห์พิจารณาหรือไม่

การเวียนมาถึงของวันวิสาขบูชา ก็คือเป็นการเตือนใจเรา และเป็นโอกาสสำหรับเราจะได้มารำลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วศึกษาให้เข้าใจ และนำมาใช้ประโยชน์ เมื่อทำอย่างนี้อารยธรรมนุษย์ก็จะพัฒนาได้ต่อไป ไม่อย่างนั้นเราก็เป็นเพียงผู้เสวยผลที่มีมาในอดีต ไม่รู้จักสร้างสรรค์อะไรเลย โดยแม้แต่จะรับก็อาจจะเลือกไม่เป็น เพราะไม่ใช้ปัญญา บางทีก็ไปเอาส่วนเสื่อมโทรมในที่ต่าง ๆ มารวมไว้กับตัวเอง

ฉะนั้น เมื่อถึงวันวิสาขบูชา อย่างน้อยก็ควรถือเอาประโยชน์จากการที่พระพุทธเจ้าได้สอนเราให้มีความไม่ประมาท ในการที่จะใช้ปัญญาศึกษาเหตุปัจจัย แล้วก็ใช้เรี่ยวแรงความเพียรในการกระทำของตนเอง ทำการแก้ไขและสร้างสรรค์ขึ้นมา ก็จะมีความเจริญได้อย่างแท้จริง

วันวิสาขบูชาจะเป็นวันสำคัญของโลกได้ ก็ต้องมีความสำคัญเริ่มตั้งแต่ที่ตัวของแต่ละคน แต่ละชีวิต แต่ละท้องถิ่น แล้วก็แต่ละสังคม ถ้าเราสามารถทำให้พระพุทธศาสนามีความหมาย ความสำคัญต่อประเทศไทยได้ ก็จะเกิดความสำคัญต่อโลกพ่วงมาด้วยและจะให้สำคัญต่อโลกแท้จริง ก็ต่อเมื่อคนไทยรู้จักนำเอาหลักพุทธศาสนามาใช้สร้างสรรค์แก้ไขปัญหาของสังคมตนเอง แล้วก้าวไปแก้ไขปัญหาของโลกด้วย

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า เวลานี้โลกมีปัญหามากมายเพียงไร เราก็เอาภาพความฟุ้งเฟ้อผิวเผินอะไรบางอย่างมากลบ ๆ กันไว้ ลึกลงไปใต้นั้นก็ซ่อนเต็มไปด้วยปัญหาทั้งนั้น ประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา ล้าหลังก็ตาม เวลานี้มีปัญหาอะไรก็รู้กันอยู่แล้ว เจริญกันมากพัฒนากันไป เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน โลกนี้ถูกคุกคามด้วยปัญหาธรรมชาติแวดล้อมเสื่อมโทรม

สังคมที่พัฒนาแล้วหรือประเทศเจริญมากอย่างอเมริกามีปัญหาตั้งแต่ชีวิตจิตใจเครียดมีความทุกข์มาก ฆ่าตัวตายมาก ฆ่ากันตายมาก ปัญหาความรุนแรง เด็กนักเรียนประถมเอาปืนไปยิงเพื่อนนักเรียนบ้าง ยิงครูที่โรงเรียนบ้าง ติดยาเสพติด ยาบ้า ยาอี โคเคน ครอบครัวก็แตกสลาย เด็กหญิงยังไม่ได้แต่งงานมีลูกตั้งแต่อายุ 12 ลูกก็ไม่มีพ่อ ตัวเองก็ยังเลี้ยงลูกไม่เป็น เด็กก็เจริญเติบโต มาเป็นส่วนประกอบของสังคมที่เป็นปัญหา ซึ่งจะทำให้สังคมเสื่อมโทรมลงระยะยาว ไหนจะมีความแบ่งแยกรังเกียจเหยียดผิวกันเรื้อรังมาเป็นศตวรรษ

มองกว้างออกไปก็มีการแย่งชิงทรัพยากรกันในหมู่ประเทศต่าง ๆ ประเทศที่มีอำนาจมากก็แข่งขันกันในการที่จะแผ่อำนาจทางเศรษฐกิจ หาผลประโยชน์ หากแหล่งทรัพยากรมีการขัดแย้งผลประโยชน์ระหว่างประเทศร่ำรวยด้วยกัน ความหวั่นกลัวต่อการครอบงำและเอารัดเอาเปรียบระหว่างประเทศที่มั่งคั่ง กับประเทศที่ขาดแคลน ระบบและองค์กรที่ว่าตั้งขึ้นเพื่อการค้าขายที่เสรีมีความเสมอภาค ก็เป็นที่สงสัยว่าจะไม่เกิดจากวัตถุประสงค์ที่จริงใจ ฯลฯ ถ้าสนใจเอาจริงเอาจัง รู้จักรับฟัง ก็จะมองเห็นสภาพปัญหาเหล่านี้

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นภาพทั่วไป ก็คือการมองไปที่สิ่งเสพบริโภค ซึ่งมาล่อให้ตื่นเต้น โดยบางทีเราก็ไม่ได้มองว่าเบื้องหลังของสิ่งเหล่านี้มีอะไร

คนที่มีปัญญาจะอยู่เพียงกับภาพที่ปรากฏผิวเผินภายนอกไม่ได้ จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาวิเคราะห์ ถ้าเราจะต้องการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ชีวิตสังคมและอารยธรรมของโลกกันจริง ๆ ก็เป็นโอกาสว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชาทีหนึ่งก็มาทบทวน ตรวจสอบ วิเคราะห์ แล้วก็พยายามที่จะนำเอาหลักการของพระพุทธศาสนามาใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งในการสร้างสรรค์ค์และแก้ปัญหา


จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที่ 6 ฉบับ 66 พฤษภาคม 2549
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศก




ขอขอบคุณที่มา : http://www.dhammadelivery.com/story-detail.php?sto_id=128


หัวข้อ: Re: คิดบวก ชีวิตบวก
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 09:11:08 PM
วันนี้ดี...เพราะเมื่อวาน


หลายครั้งที่การตัดสินใจในชีวิต
เราก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า
ทำไมถึงเลือกทางนี้...
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะสำคัญมากกว่าการหาสาเหตุก็คือ


การยอมรับว่า คนเรามีสิทธิ์ผิดพลาดกันได้
เพียงแต่ขอให้รู้ตัวเองว่า
เราผิดพลาดเรื่องอะไร และใช้บทเรียนที่ได้นั้น
เป็นประสบการณ์ไว้สอนตัวเอง


ไม่มีประโยชน์กับการนั่งกล่าวโทษตัวเอง หรือ
มัวหวั่นไหวกับภาพร้ายๆที่คนอื่นสร้างให้
จนทำให้เรารู้สึกแย่ไปกันใหญ่


เมื่อวานนี้ของฉัน อาจเคยสร้างความรู้สึกสีเทาให้กับตัวเอง
และคนที่รักฉันอยู่ไม่น้อย
แม้มันจะต้องใช้เวลาที่ยาวนานเหมือนกัน
กว่าจะจัดการระบายสีให้กับชีวิตวันนี้ของตัวเองเสียใหม่


อย่างไรเสีย... วันนี้ของฉันก็ดีกว่าเมื่อวาน
ด้วยแรงเสียดทานหนักๆที่เคยผ่าน
ทำให้เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
ทำให้เรากลายเป็นคนหนักแน่นและมีความอดทน
ไม่ท้อง่ายต่อเรื่องยากในชีวิต
ฉันได้กลับมาเป็นลูกที่ดีพอใช้ได้คนหนึ่งของพ่อแม่


เป็นแม่ที่พึ่งพาได้ของลูกตัวเอง
และเป็นคนที่พอใช้ได้อีกคนหนึ่งในสังคม


เท่านี้ก็เพียงพอที่ควรจะขอบคุณ "เมื่อวาน"
ที่ทำให้ฉันวันนี้ "คิดได้" ในหลายๆเรื่อง



- - - - - - - - - - - - - - - - - -


ไม่ว่าอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นในชีวิตคุณ
มันขึ้นอยู่กับตัวคุณว่า จะตีความหมายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร
และไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะมีความหมายหรือคุณค่าอย่างไรกับคุณ
คุณเองแหละที่จะเป็นคนให้ความหมาย
หรือคุณค่ากับสถานการณ์นั้นๆเอง. . .



- - - - - - - - - - - - - - - - - -


หากคุณมีเรื่องเมื่อวันวาน ...
ที่ยังสร้างความรู้สึกแง่ลบให้กับตัวเองจนถึงวันนี้อยู่ละก็...


ทุกๆเช้าที่เราตื่นนอน
ลองบอกกับตัวเองว่า


"เรามีทางเลือกอยู่สองทาง
คือ จะเลือกว่ารู้สึกดีต่อตัวเอง
หรือรู้สึกไม่ดี..."


และเราจะเลือกอย่างหลัง
ไปเพื่ออะไร...?



-----------------------------------------------------

จาหนังสือ "วันนั้นอ่อนแอ แต่วันนี้ไม่ใช่"
โดย.......ปูปรุง



ขอขอบคุณที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/8282.html



หัวข้อ: Re: คิดบวก ชีวิตบวก
เริ่มหัวข้อโดย: หมอนันทิยา ที่ สิงหาคม 06, 2009, 09:15:37 PM
ค่าแห่งงาน..ค่าแห่งชีวิต


เมื่อหลายปีทางการได้จัดงานมอบรางวัลชมเชยแก่เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในแขนงต่างๆ และหนึ่งในผู้ที่ได้รับรางวัลก็คือ บุรุษไปรษณีย์หลิน

ในตอนที่คุณหลินอายุได้ประมาณ 20 ปี ก็เริ่มเข้าทำงานในกรมไปรษณีย์ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยทำงานด้านบริการ ในบริษัทผลิตยางพาราแห่งหนึ่งมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลที่เบื่อชีวิต ของการเป็นลูกจ้าง จึงสมัครเข้าทำงานในกรมไปรษณีย์

แม้ว่าเขาจะไม่ชอบเท่าใดนักกับการเป็นบุรุษไปรษณีย์ ชีวิตที่ต้องส่งจดหมายเขาคิดว่าเป็นงานที่ไร้รสชาติสิ้นดี กับเพื่อนร่วมงานแล้ว เขาก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ

ไม่ถึงหนึ่งปีเขาก็คิดที่จะเปลี่ยนงานอีก และก่อนหน้า ที่เขาจะตัดสินใจยื่นใบลาออกหนึ่งวัน เขาก็พบว่า ในกระเป๋าส่งจดหมายของเขายังมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งที่ยังไม่ได้ส่ง เมื่อหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นจดหมายที่อยู่ของผู้รับไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก

"เอาล่ะ! ไหนๆ ก็จะลาออกแล้วฉันจะทำหน้าที่ส่งจดหมาย ฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้ายก็แล้วกัน" เขาคิดในใจ

แต่การที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ก็ทำให้เขาต้องเสียเวลาในการหาสถานที่ ตามที่อยู่ไปหนึ่งวันเต็มๆ และต้องถามผู้คนมากมาย เมื่อเขาหาจนเจอ ตอนนั้นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว "บุรุษไปรษณีย์ครับ ขอบคุณจริงๆครับ" เมื่อชายหนุ่มเจ้าของจดหมายได้รับจดหมายจากคุณหลินไม่เพียงกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มยังจับมือแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ เพราะจดหมายฉบับนั้น เป็นจดหมายตอบรับเข้าทำงานที่ชายหนุ่มได้สมัครไว้นั่นเอง

เห็นชายหนุ่มดีใจที่ได้รับจดหมาย และคนในครอบครัวที่ร่วมยินดีกับเขา เหตุการณ์เช่นนี้ตั้งแต่เขาเป็นบุรุษไปรษณีย์มานี่ เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึง เรื่องราวที่ซาบซึ้งและสะเทือนใจตลอดมา เขาทำงานอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่ขอบคุณเขาที่คอยบริการส่งจดหมาย

เขาเริ่มเปลี่ยนความคิดเดิมที่ว่า ชีวิตบุรุษไปรษณีย์ไร้ความหมายและไม่มีคุณค่า ก็เมื่อตอนที่ส่งจดหมายฉบับนี้แล้วและเห็นความปิติยินดีของผู้รับ จึงเห็นคุณค่าที่แฝงอยู่ในหน้าที่ของตน

ทำให้เข้าใจความหมายของการเป็นบุรุษไปรษณีย์อย่างแท้จริง ในขณะนั้นเขาคิดในใจ "ฉันจะทำหน้าที่นี้ต่อไป"

เพราะจดหมายที่เขาส่งเพียงแค่ฉบับเดียวแต่ผู้รับรวมทั้งครอบครัวของเขา ต่างปิติเป็นสุขเมื่อได้รับจดหมายทำให้คุณหลินรู้ถึงความสำคัญต่อการส่งจดหมาย

จากนั้นเป็นต้นมา เขาจะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เขาได้ส่งจดหมาย 25 ปี ผ่านดั่งหนึ่งวันมิเคยขาดหายและไม่เคยท้อแท้หรือเกียจคร้านอีกต่อไป!

ชีวิตมนุษย์ทุกผู้นาม ล้วนดำรงตนอยู่ได้ด้วยความหวัง หากชีวิตมิได้ดำรงอยู่ด้วยความปรารถนาเพื่อที่จะสำเร็จต่อจุดมุ่งหมาย ไหนเลยจะตรากตรำลำบากกายา และลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในความเพ้อฝัน และหากจะใช้ชีวิตของใครคนใดคนหนึ่ง อยู่ได้อย่างมีความสุข มีความหมายและมีคุณค่า โดยไม่รู้สึกว่าอ้างว้างหรือเบื่อหน่าย ข้อสำคัญคือจุดมุ่งหวังนั้นคืออะไร?

ขอบคุณข้อมูลจากทำดีดอทเน็ต


ขอขอบคุณที่มา : http://www.teenee.com